จาก SET ESG Ratings สู่การวัดผลแบบสากลด้วย FTSE Russell ESG Scores | Optiwise
Article
08 พฤศจิกายน 2567

จาก SET ESG Ratings สู่การวัดผลแบบสากลด้วย FTSE Russell ESG Scores

จาก SET ESG Ratings สู่การวัดผลแบบสากลด้วย FTSE Russell ESG Scores
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังยกระดับมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน โดยเปลี่ยนจากระบบ SET ESG Ratings เป็น FTSE Russell ESG Scores ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ประเมินบริษัทกว่า 8,000 แห่งใน 47 ประเทศทั่วโลก เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดนักลงทุนระดับโลก ขณะเดียวกันยังเตรียมพร้อมให้บริษัทไทยสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานด้าน ESG กับบริษัทชั้นนำระดับโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหมายและความสำคัญ ESG Rating

ESG Rating เป็นการประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance) ซึ่งสะท้อนถึงความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้พัฒนา SET ESG Ratings เพื่อประเมินบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

SET ESG Ratings มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี การประเมินนี้ครอบคลุมประเด็นสำคัญเช่น การจัดการความเสี่ยงด้าน ESG นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และการดำเนินงานต่อพนักงาน ชุมชน และสังคม

ความสำคัญของ ESG Rating มีหลายประการ

  1. ส่งเสริมการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน: กระตุ้นให้บริษัทปรับปรุงการดำเนินงานด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง
  2. เป็นเครื่องมือสำหรับนักลงทุน: ช่วยให้นักลงทุนสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัทต่างๆ ได้
  3. เพิ่มความน่าเชื่อถือ: บริษัทที่มี ESG Rating ที่ดีมักได้รับความเชื่อถือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น
  4. ดึงดูดนักลงทุนที่สนใจความยั่งยืน: นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืนมากขึ้น
  5. สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: บริษัทที่มี ESG ที่ดีมักมีศักยภาพในการเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
การมี SET ESG Ratings ช่วยยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจของบริษัทไทย และเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล

เกณฑ์การประเมินและระดับคะแนนของ SET ESG Ratings

SET ESG Ratings ประเมินบริษัทจดทะเบียนที่สมัครใจเข้าร่วมตอบแบบประเมินความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยครอบคลุมประเด็นสำคัญใน 3 มิติหลัก ได้แก่ สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance)

เกณฑ์การประเมินมีดังนี้

1. บริษัทต้องมีคะแนนจากการตอบแบบประเมินอย่างน้อย 50% ในแต่ละมิติ 
2. ต้องผ่านเกณฑ์คุณสมบัติที่กำหนด เช่น:
  • ผลการประเมินคุณภาพรายงานด้านบรรษัทภิบาล (CGR)
  • ผลประกอบการด้านกำไรสุทธิและส่วนของผู้ถือหุ้น
  • ไม่มีประวัติถูกลงโทษในประเด็นด้าน ESG
  • ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย C โดยตลาดหลักทรัพย์
ระดับคะแนน SET ESG Ratings แบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้

  • AAA: คะแนนรวม 90-100 คะแนน
  • AA: คะแนนรวม 80-89 คะแนน
  • A: คะแนนรวม 65-79 คะแนน
  • BBB: คะแนนรวม 50-64 คะแนน
การประเมินจะดำเนินการปีละครั้ง โดยอ้างอิงข้อมูลจากรายงานประจำปี รายงานความยั่งยืน และเว็บไซต์ของบริษัท ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการทบทวนแบบประเมินทุกปีเพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มด้านความยั่งยืนในระดับสากลและระดับประเทศ

หากระหว่างปีพบว่าบริษัทมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเกณฑ์ อาจถูกคัดออกจาก SET ESG Ratings ได้ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าการประเมินนี้อาศัยข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยเพียงแหล่งเดียว และยังไม่มีกลไกรับเรื่องร้องเรียนที่อาจนำไปสู่การหักคะแนน ESG ระหว่างปี

ความสำคัญของ SET ESG Ratings ต่อบริษัทจดทะเบียน

SET ESG Ratings มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อบริษัทจดทะเบียนในหลายด้าน

  1. ดึงดูดนักลงทุน: การได้รับ SET ESG Ratings ในระดับสูงช่วยเพิ่มความน่าสนใจของบริษัทในสายตานักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน
  2. เสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ: บริษัทที่มี SET ESG Ratings ที่ดีจะได้รับความเชื่อถือมากขึ้นจากลูกค้า พนักงาน ชุมชน และคู่ค้า
  3. เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน: นักลงทุนสถาบันและแหล่งเงินทุนต่างๆ มักพิจารณา ESG Ratings ประกอบการตัดสินใจลงทุน ทำให้บริษัทที่มีคะแนนสูงมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
  4. เสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน: การมุ่งเน้นการดำเนินงานตามหลัก ESG ช่วยให้บริษัทมีการบริหารจัดการทรัพยากรและกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิต
  5. ลดความเสี่ยง: การประเมิน SET ESG Ratings ช่วยให้บริษัทสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลได้ดีขึ้น สร้างความยั่งยืนในระยะยาว
  6. เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต: ช่วยให้บริษัทมีความพร้อมในการปฏิบัติตามกฎระเบียบและมาตรฐานด้าน ESG ที่มีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นในอนาคต
  7. สร้างวัฒนธรรมองค์กรยั่งยืน: การมุ่งเน้นการพัฒนาตาม SET ESG Ratings ช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบในองค์กร
  8. เพิ่มมูลค่าและโอกาสทางธุรกิจ: บริษัทที่มี SET ESG Ratings สูงมักมีมูลค่าองค์กรที่สูงขึ้นในสายตาของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่เน้นความยั่งยืน
ตัวอย่างกรณีศึกษาของบริษัทที่ได้รับประโยชน์จาก SET ESG Ratings ที่ดี

บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings ในระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ส่งผลให้บริษัทได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ และยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของบริษัทในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การมุ่งเน้นการดำเนินงานตามหลัก ESG ยังช่วยให้ SCC สามารถพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก

การเปลี่ยนผ่านจาก SET ESG Ratings สู่ FTSE Russell ESG Scores

การเปลี่ยนผ่านจาก SET ESG Ratings สู่ FTSE Russell ESG Scores เป็นการยกระดับมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทยสู่ระดับสากล โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ร่วมมือกับ FTSE Russell ซึ่งเป็นผู้ประเมิน ESG ระดับโลก

ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมีดังนี้

  1. วิธีการประเมิน: FTSE Russell ESG Scores จะประเมินจากข้อมูลที่บริษัทเปิดเผยสู่สาธารณะ เช่น รายงานประจำปี รายงานความยั่งยืน และเว็บไซต์ของบริษัท แทนการใช้แบบสอบถามเหมือน SET ESG Ratings
  2. โครงสร้างการประเมิน: FTSE Russell ใช้โครงสร้าง 3 ระดับ ประกอบด้วย 3 มิติหลัก (Pillars) 14 ธีม (Themes) และมากกว่า 300 ตัวชี้วัด (Indicators) โดยบริษัทไทยจะได้รับการประเมินเฉลี่ยประมาณ 125 ตัวชี้วัด
  3. ระดับคะแนน: FTSE Russell ESG Scores ใช้คะแนนตั้งแต่ 0-5.0 โดย 0 หมายถึงไม่มีข้อมูลให้ประเมิน และ 5.0 หมายถึงเป็น Best practices
  4. ขอบเขตการประเมิน: FTSE Russell จะประเมินบริษัทที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ในปีที่ผ่านมา และบริษัทที่อยู่ในดัชนี SET100
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองระบบ

  1. ความเป็นสากล: FTSE Russell ESG Scores เป็นมาตรฐานที่ใช้ประเมินบริษัทกว่า 8,000 แห่งใน 47 ประเทศทั่วโลก ทำให้สามารถเปรียบเทียบกับบริษัทระดับโลกได้
  2. ความโปร่งใส: การประเมินจากข้อมูลสาธารณะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดภาระของบริษัทในการตอบแบบสอบถาม
  3. ความละเอียด: FTSE Russell มีตัวชี้วัดที่ละเอียดและครอบคลุมมากกว่า ทำให้การประเมินมีความแม่นยำสูงขึ้น
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการเปลี่ยนผ่าน

  1. เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การใช้มาตรฐานสากลช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของบริษัทไทยในสายตานักลงทุนทั่วโลก
  2. ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ: FTSE Russell เป็นที่ยอมรับจากนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
  3. พัฒนาตามมาตรฐานสากล: บริษัทไทยจะได้รับแรงจูงใจในการพัฒนาการดำเนินงานด้าน ESG ให้ทัดเทียมกับบริษัทชั้นนำระดับโลก
  4. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: การมีคะแนน ESG ที่ดีตามมาตรฐานสากลอาจนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในระดับนานาชาติ
การเปลี่ยนผ่านนี้จะใช้เวลา 2 ปี (2567-2568) เป็นช่วงนำร่อง ก่อนจะเริ่มประกาศผลคะแนน FTSE Russell ESG Scores อย่างเป็นทางการในปี 2569 ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนของตลาดทุนไทยสู่ระดับสากล

สิ่งที่บริษัทจดทะเบียนต้องเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่การประเมินด้วย FTSE Russell ESG Scores

การเตรียมความพร้อมสำหรับบริษัทจดทะเบียนไทยในการเข้าสู่การประเมินด้วย FTSE Russell ESG Scores มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการยกระดับมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนสู่ระดับสากล ดังนั้น บริษัทควรดำเนินการดังต่อไปนี้

1. ศึกษาและทำความเข้าใจเกณฑ์การประเมิน
  • ศึกษา "Guideline to FTSE Russell ESG Scores" ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่จัดทำโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • เข้าร่วมการอบรมและสัมมนาที่จัดโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเข้าใจรายละเอียดของเกณฑ์การประเมินและวิธีการเตรียมความพร้อม
2. ปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูล
  • เน้นการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ในรายงานประจำปี รายงานความยั่งยืน และเว็บไซต์ของบริษัทให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับตัวชี้วัดของ FTSE Russell
  • ตรวจสอบว่าข้อมูลที่เปิดเผยครอบคลุมทั้ง 3 มิติหลัก (Pillars) และ 14 ธีม (Themes) ตามโครงสร้างการประเมินของ FTSE Russell
3. พัฒนาระบบการจัดเก็บและรายงานข้อมูล
  • จัดทำระบบการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดต่างๆ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
  • พัฒนากระบวนการรายงานข้อมูลภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถรวบรวมและเปิดเผยข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและทันเวลา
4. ปรับปรุงนโยบายและกลยุทธ์ด้าน ESG
  • ทบทวนและปรับปรุงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
  • กำหนดเป้าหมายและแผนงานด้าน ESG ที่ชัดเจนและวัดผลได้
5. เสริมสร้างความเข้าใจภายในองค์กร
  • จัดอบรมให้ความรู้แก่พนักงานทุกระดับเกี่ยวกับความสำคัญของ ESG และการประเมิน FTSE Russell ESG Scores
  • สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
6. เตรียมพร้อมสำหรับการประเมินนำร่อง
  • เข้าร่วมโครงการประเมินนำร่องในปี 2567-2568 เพื่อเรียนรู้และปรับปรุงการดำเนินงานก่อนการประเมินจริงในปี 2569
  • ใช้ผลการประเมินนำร่องเพื่อวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของบริษัท และวางแผนพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
7. พัฒนาความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
  • สร้างความร่วมมือกับคู่ค้า ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ เพื่อพัฒนาการดำเนินงานด้าน ESG ตลอดห่วงโซ่คุณค่า
  • รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อนำมาปรับปรุงการดำเนินงาน
8. ติดตามแนวโน้มและพัฒนาการด้าน ESG ระดับโลก
  • ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีของบริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • ติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบและมาตรฐานด้าน ESG ในระดับสากล เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
การเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านจะช่วยให้บริษัทจดทะเบียนไทยสามารถปรับตัวเข้าสู่การประเมิน FTSE Russell ESG Scores ได้อย่างราบรื่น และยกระดับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะส่งผลดีต่อความสามารถในการแข่งขันและการดึงดูดนักลงทุนในระยะยาว

ความสำคัญของการพัฒนาสู่มาตรฐานสากลด้วย ESG Rating

การเปลี่ยนผ่านจาก SET ESG Ratings ไปสู่ FTSE Russell ESG Scores เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานความยั่งยืนของตลาดทุนไทยสู่ระดับสากล ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนไทยในหลายด้าน

  • เพิ่มความน่าเชื่อถือในระดับสากล: การใช้มาตรฐานการประเมินที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลกจะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของบริษัทไทยในสายตานักลงทุนต่างชาติ
  • ดึงดูดนักลงทุนระยะยาว: นักลงทุนสถาบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับ FTSE Russell ESG Scores ในการตัดสินใจลงทุน การมีคะแนนที่ดีจะช่วยดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ
  • เทียบเคียงกับบริษัทระดับโลก: FTSE Russell ใช้แนวทางการประเมินเดียวกันกับบริษัทกว่า 8,000 แห่งใน 47 ประเทศ ทำให้บริษัทไทยสามารถเปรียบเทียบผลการดำเนินงานด้าน ESG กับบริษัทชั้นนำระดับโลกได้
  • พัฒนาการดำเนินงานด้าน ESG: การปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลจะช่วยผลักดันให้บริษัทไทยพัฒนาการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลอย่างต่อเนื่อง
  • เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ: การมีคะแนน ESG ที่ดีตามมาตรฐานสากลอาจนำไปสู่โอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในระดับนานาชาติ
  • ลดความเสี่ยงด้าน ESG: การประเมินที่ครอบคลุมและละเอียดมากขึ้นจะช่วยให้บริษัทสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงด้าน ESG ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน: บริษัทที่มีการดำเนินงานด้าน ESG ที่ดีมักมีศักยภาพในการเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
การเปลี่ยนผ่านนี้จะใช้เวลา 2 ปี (2567-2568) เป็นช่วงนำร่อง ก่อนจะเริ่มประกาศผลคะแนน FTSE Russell ESG Scores อย่างเป็นทางการในปี 2569 บริษัทจดทะเบียนไทยควรใช้โอกาสนี้ในการเตรียมความพร้อม ปรับปรุงการเปิดเผยข้อมูล และพัฒนาการดำเนินงานด้าน ESG ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความยั่งยืนในระยะยาว

การยกระดับสู่มาตรฐาน FTSE Russell ESG Scores ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทจดทะเบียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับตลาดทุนไทยโดยรวม เสริมสร้างความแข็งแกร่งและความน่าสนใจของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเวทีโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศไทยในระยะยาว

Reference:
  • https://setsustainability.com/libraries/1340/item/-ftse-russell-esg-scores
  • https://www.infoquest.co.th/2024/420872
  • https://setsustainability.com/ftse-russel-esg-scores
  • https://www.sdthailand.com/2024/07/transition-set-esg-ratings-to-ftse-russells-esg-scores/
  • https://setsustainability.com/storage/files/32/TheGuidelineto-FTSE-Russell-TH-LO2.pdf
  • https://www.sdperspectives.com/next-gen/25192-set-esg-ratings-ftse-russell/
  • https://www.thairath.co.th/money/experts_pool/columnist/2800274
  • https://www.esgprothai.com/content/29362/set-esg-ratings-ไปสู่-ftse-russell-esg-scores

เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่