IPO Roadmap: แนวทางการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ | Optiwise
Article
19 พฤศจิกายน 2567

IPO Roadmap: แนวทางการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์

IPO Roadmap: แนวทางการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
IPO Roadmap เป็นแนวทางสำคัญสำหรับบริษัทที่ต้องการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชนเป็นบริษัทมหาชน โดยครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างองค์กร การพัฒนาแผนธุรกิจและโครงสร้างรายงานทางการเงิน การทำ Due Diligence ไปจนถึงการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) และการดำเนินงานหลังเข้าจดทะเบียน เพื่อระดมทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งพิจารณาข้อควรระวังและประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างรอบคอบ รวมถึงการเลือกผู้จัดการจัดจำหน่าย การกำหนดราคาหุ้น และการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความสนใจจากนักลงทุนในระยะยาว

1. ความหมายของ IPO และความสำคัญของการเข้าจดทะเบียน

IPO หรือ Initial Public Offering คือการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทมหาชนจำกัดต่อประชาชนเป็นครั้งแรก เป็นกระบวนการที่บริษัทเอกชนเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทมหาชนและเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการผ่านการซื้อหุ้น

บริษัทตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยเหตุผลหลายประการ

  1. การระดมทุน: IPO เป็นวิธีการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำไปใช้ในการขยายกิจการ ลงทุนในโครงการใหม่ หรือชำระหนี้
  2. เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การเป็นบริษัทจดทะเบียนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงิน
  3. เข้าถึงแหล่งเงินทุน: บริษัทจดทะเบียนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้หลากหลายขึ้น ทั้งจากตลาดทุนและตลาดเงิน
  4. สร้างมูลค่าและสภาพคล่อง: หุ้นของบริษัทจดทะเบียนมีสภาพคล่องสูงกว่า ทำให้ผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายได้ง่ายและมีมูลค่าตลาดที่ชัดเจน
ประโยชน์ที่บริษัทและผู้ถือหุ้นเดิมจะได้รับจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่

  1. โอกาสทางธุรกิจ: การเป็นบริษัทจดทะเบียนเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจ สร้างพันธมิตร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี: บริษัทจดทะเบียนและผู้ถือหุ้นอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
  3. การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ: การปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีช่วยพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. ความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว: การระดมทุนผ่าน IPO ช่วยให้บริษัทมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเติบโตในระยะยาว
  5. การสร้างแบรนด์: การเป็นบริษัทจดทะเบียนช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การตัดสินใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่ต้องการยกระดับธุรกิจและเติบโตอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องพิจารณาถึงความพร้อมและความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นในฐานะบริษัทมหาชนด้วย

2. การเตรียมตัวสำหรับ IPO

การเตรียมตัวสำหรับ IPO เป็นกระบวนการสำคัญที่บริษัทต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและครอบคลุม เพื่อให้มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้

1. การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร
  • จัดโครงสร้างการถือหุ้นและธุรกิจให้ชัดเจน โดยแยกธุรกิจหลักออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้อง
  • แต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ โดยต้องมีกรรมการอิสระอย่างน้อย 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
  • จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการชุดย่อยอื่นๆ ตามความเหมาะสม
2. การเตรียมแผนธุรกิจและพัฒนาโครงสร้างรายงานทางการเงิน
  • จัดทำแผนธุรกิจที่ชัดเจน แสดงถึงวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และเป้าหมายการเติบโตในระยะยาว
  • พัฒนาระบบบัญชีและการเงินให้เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน (TFRS)
  • จัดทำงบการเงินย้อนหลัง 2-3 ปี ที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.
3. การทำ Due Diligence
  • ดำเนินการตรวจสอบสถานะทางกฎหมาย การเงิน และการดำเนินงานของบริษัทอย่างละเอียด
  • ประเมินความเสี่ยงและจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
  • ตรวจสอบและปรับปรุงระบบควบคุมภายในให้มีความรัดกุมและเป็นไปตามมาตรฐาน
4. การเตรียมบุคลากรและระบบงาน
  • พัฒนาทีมงานนักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relations) เพื่อรองรับการสื่อสารกับนักลงทุนและตลาดทุน
  • จัดอบรมพนักงานเกี่ยวกับการเป็นบริษัทจดทะเบียนและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
  • พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการรายงานข้อมูลและการเปิดเผยสารสนเทศ
5. การเลือกที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor)
  • คัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงินที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของบริษัท
  • ร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินในการวางแผนการระดมทุนและกำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม
6. การเตรียมเอกสารสำคัญ
  • จัดทำแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ 69-1) และหนังสือชี้ชวน
  • รวบรวมเอกสารสำคัญทางกฎหมายและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
การเตรียมตัวอย่างรอบด้านและมีประสิทธิภาพจะช่วยให้บริษัทสามารถผ่านกระบวนการ IPO ได้อย่างราบรื่น และพร้อมรับมือกับความท้าทายของการเป็นบริษัทจดทะเบียนในอนาคต นอกจากนี้ การวางแผนระยะยาวและการสื่อสารที่ชัดเจนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความสนใจจากนักลงทุนในการเข้าร่วมลงทุนกับบริษัท

3. การเลือกผู้จัดการจัดจำหน่าย (Underwriter)

ผู้จัดการจัดจำหน่าย (Underwriter) มีบทบาทสำคัญในกระบวนการ IPO โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างบริษัทที่ต้องการระดมทุนและนักลงทุน ผู้จัดการจัดจำหน่ายจะช่วยในการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น จัดทำเอกสารสำคัญ และกระจายหุ้นให้กับนักลงทุน

ในการเลือกผู้จัดการจัดจำหน่าย บริษัทควรพิจารณาเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้

  1. ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม: ผู้จัดการจัดจำหน่ายควรมีความเข้าใจลึกซึ้งในธุรกิจและอุตสาหกรรมของบริษัท
  2. ประสบการณ์และประวัติการจัดจำหน่าย: พิจารณาผลงานในอดีต โดยเฉพาะในการจัดจำหน่ายหุ้น IPO ที่ประสบความสำเร็จ
  3. ความสามารถในการประเมินราคาหุ้น: ต้องมีทักษะในการวิเคราะห์และกำหนดราคาเสนอขายที่เหมาะสม
  4. เครือข่ายนักลงทุน: ผู้จัดการจัดจำหน่ายควรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนสถาบันและรายย่อย
  5. ความสามารถในการให้คำปรึกษา: ต้องสามารถให้คำแนะนำในด้านต่างๆ ตลอดกระบวนการ IPO
ผู้จัดการจัดจำหน่ายช่วยให้หุ้นถูกเสนอขายต่อสาธารณะและกระจายหุ้นให้กับนักลงทุนที่เหมาะสมผ่านวิธีการต่างๆ เช่น

  1. การทำ Book Building: รวบรวมความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเพื่อกำหนดราคาเสนอขายที่เหมาะสม
  2. การจัดสรรหุ้น: กำหนดสัดส่วนการจัดสรรหุ้นให้แก่นักลงทุนประเภทต่างๆ โดยต้องจัดสรรให้ผู้ลงทุนทั่วไปอย่างเพียงพอ
  3. การจัดโรดโชว์: นำเสนอข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนในเมืองสำคัญต่างๆ เพื่อสร้างความสนใจในหุ้น IPO
  4. การประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแล: ช่วยบริษัทในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์
การเลือกผู้จัดการจัดจำหน่ายที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์จะช่วยให้กระบวนการ IPO ดำเนินไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ โดยสามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมายและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

4. ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียน

ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นกระบวนการสำคัญที่บริษัทต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. การเตรียมเอกสารสำคัญ
  • จัดทำงบการเงินย้อนหลัง 2-3 ปีที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.
  • เตรียมแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ 69-1) และหนังสือชี้ชวน
  • รวบรวมเอกสารสำคัญทางกฎหมายและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
  • จัดทำแบบคำขอและเอกสารประกอบการยื่นคำขอให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
2. การดำเนินการประชุมผู้ถือหุ้น
  • จัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (กรณีที่ยังไม่ได้เป็นบริษัทมหาชน)
  • ขออนุมัติการเพิ่มทุนและการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน
  • แต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์
3. การยื่นคำขอ
  • ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. พร้อมเอกสารประกอบ
  • ยื่นคำขอจดทะเบียนหลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
4. การตรวจสอบและพิจารณา
  • ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์จะตรวจสอบเอกสารและคุณสมบัติของบริษัท
  • อาจมีการขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือชี้แจงประเด็นต่างๆ
5. การอนุมัติและประกาศผล
  • เมื่อได้รับอนุมัติ ก.ล.ต. จะออกหนังสือรับรองการอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์
  • ตลาดหลักทรัพย์จะประกาศรับหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
ทั้งนี้ บริษัทควรทำงานร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินและที่ปรึกษากฎหมายอย่างใกล้ชิดตลอดกระบวนการ เพื่อให้มั่นใจว่าการยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ การเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบและการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัดจะช่วยให้กระบวนการยื่นคำขอจดทะเบียนดำเนินไปอย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จ

5. วิธีการประเมินมูลค่าบริษัทและการตั้งราคาหุ้นเริ่มต้นที่เหมาะสม

การประเมินมูลค่าบริษัทและการตั้งราคาหุ้นเริ่มต้นที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการ IPO โดยมีวิธีการและปัจจัยที่ต้องพิจารณาดังนี้

1. วิธีการประเมินมูลค่าบริษัท

  1. วิธี P/E Ratio (Price to Earnings Ratio): เป็นการเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น โดยนำ P/E ของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันมาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ
  2. วิธี Dividend Discount Model (DDM): ประเมินมูลค่าหุ้นจากการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของเงินปันผลในอนาคตที่คาดว่าจะได้รับ
  3. วิธี Discounted Cash Flow (DCF): คำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตที่บริษัทคาดว่าจะสร้างได้
  4. วิธีเปรียบเทียบตลาด (Comparable Method): เปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินกับบริษัทที่มีลักษณะใกล้เคียงกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน
2. การกำหนดราคาหุ้นโดยใช้วิธี Book Building 

Book Building เป็นกระบวนการที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายใช้ในการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO โดยมีขั้นตอนดังนี้
  1. กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น
  2. เชิญนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจซื้อหุ้นและระบุราคาที่ต้องการ
  3. รวบรวมข้อมูลความต้องการซื้อจากนักลงทุน
  4. วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายที่เหมาะสม
วิธีนี้ช่วยให้บริษัทสามารถประเมินความต้องการของตลาดและกำหนดราคาที่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น

3. ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดราคา

  1. ภาวะตลาด: สภาพเศรษฐกิจโดยรวมและความผันผวนของตลาดหุ้นมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
  2. กลุ่มอุตสาหกรรม: แนวโน้มและการเติบโตของอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่
  3. ผลประกอบการและศักยภาพการเติบโต: ประวัติผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและแผนธุรกิจในอนาคต
  4. ความน่าสนใจของบริษัท: นวัตกรรม ความได้เปรียบทางการแข่งขัน และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
  5. โครงสร้างเงินทุน: อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนและความสามารถในการทำกำไร
  6. ความต้องการของนักลงทุน: ผลตอบรับจากการทำ roadshow และ book building
  7. กฎระเบียบและนโยบายของหน่วยงานกำกับดูแล: เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการกำหนดราคาเสนอขายของ ก.ล.ต.
การกำหนดราคาหุ้น IPO ที่เหมาะสมเป็นศิลปะที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของบริษัท ผู้ถือหุ้นเดิม และนักลงทุนใหม่ ราคาที่สูงเกินไปอาจทำให้นักลงทุนไม่สนใจ ในขณะที่ราคาต่ำเกินไปอาจทำให้บริษัทระดมทุนได้น้อยกว่าที่ควร การใช้วิธีการประเมินมูลค่าที่หลากหลายร่วมกับการพิจารณาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ จะช่วยให้บริษัทสามารถกำหนดราคาหุ้น IPO ที่เหมาะสมและประสบความสำเร็จในการระดมทุน

6. การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (Public Offering)

การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (Public Offering) เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการ IPO ที่บริษัทเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการผ่านการซื้อหุ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

การสร้างความน่าสนใจผ่านแคมเปญการตลาดและโรดโชว์

  1. จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์: สร้างเว็บไซต์ IPO (หรือ IR Website), วิดีโอแนะนำบริษัท และเอกสารข้อมูลสำคัญเพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุน
  2. จัดโรดโชว์: นำเสนอข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ในเมืองสำคัญต่างๆ เพื่อสร้างความสนใจในหุ้น IPO
  3. จัดประชุมนักลงทุนรายย่อย: จัดงานให้ข้อมูลแก่นักลงทุนทั่วไปเพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในธุรกิจ
  4. สื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์: ใช้สื่อสังคมออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงนักลงทุนรุ่นใหม่
กระบวนการจองซื้อหุ้นและการเตรียมพร้อม

  1. กำหนดสัดส่วนการจัดสรร: แบ่งสัดส่วนการจัดสรรหุ้นระหว่างนักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน โดยต้องจัดสรรให้ผู้ลงทุนทั่วไปอย่างเพียงพอตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
  2. เปิดจองซื้อสำหรับนักลงทุนสถาบัน: ดำเนินการ Book Building เพื่อรวบรวมความต้องการซื้อและกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย
  3. เปิดจองซื้อสำหรับนักลงทุนทั่วไป: กำหนดช่วงเวลาจองซื้อ ผ่านตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ได้รับการแต่งตั้ง
  4. การชำระเงินค่าจองซื้อ: นักลงทุนต้องชำระเงินค่าจองซื้อตามวิธีการที่กำหนด เช่น การโอนเงิน หรือการตัดบัญชีอัตโนมัติ
  5. การจัดสรรหุ้น: หากมีผู้จองซื้อเกินจำนวนที่เสนอขาย จะใช้วิธีการจัดสรรตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น การสุ่มหรือการเฉลี่ยตามสัดส่วน
  6. การคืนเงินค่าจองซื้อ: ในกรณีที่ไม่ได้รับการจัดสรรหรือได้รับการจัดสรรไม่ครบตามจำนวนที่จองซื้อ บริษัทจะดำเนินการคืนเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด
การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะต้องดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อให้มั่นใจว่ามีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอและเป็นธรรมต่อนักลงทุนทุกราย ทั้งนี้ บริษัทควรมุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสตลอดกระบวนการเพื่อสร้างฐานนักลงทุนที่แข็งแกร่งในระยะยาว

7. การจดทะเบียนและการเริ่มต้นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์

การจดทะเบียนและการเริ่มต้นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญในกระบวนการ IPO โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. การยื่นคำขอจดทะเบียน: บริษัทต้องยื่นคำขอจดทะเบียนหลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) พร้อมเอกสารประกอบ เช่น หนังสือชี้ชวน งบการเงิน และรายงานการกระจายการถือหุ้น
  2. การพิจารณาคำขอ: ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ทุนชำระแล้ว ผลการดำเนินงาน และการกระจายการถือหุ้นรายย่อย
  3. การอนุมัติรับหลักทรัพย์: เมื่อบริษัทผ่านการพิจารณา คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติให้รับหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
  4. การประกาศวันเริ่มซื้อขาย: ตลาดหลักทรัพย์จะประกาศวันเริ่มซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ หลังจากการจัดสรรหุ้นเสร็จสิ้น
  5. พิธีเปิดการซื้อขาย: ในวันแรกของการซื้อขาย จะมีพิธีเปิดการซื้อขายอย่างเป็นทางการ โดยผู้บริหารบริษัทจะเคาะฆ้องเปิดตลาดที่ตลาดหลักทรัพย์
  6. การซื้อขายวันแรก: นักลงทุนสามารถเริ่มซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทหลักทรัพย์ได้ตามกลไกตลาด โดยราคาหุ้นอาจมีความผันผวนสูงในช่วงแรก
  7. การติดตามผล: บริษัทต้องติดตามสภาพคล่องและราคาซื้อขายของหุ้นอย่างใกล้ชิด และพร้อมสื่อสารกับนักลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
การเริ่มต้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์อย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในระยะยาว

8. การดูแลและปฏิบัติตามข้อกำหนดหลัง IPO

หลังจากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว มีหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ดังนี้

1. การเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
  • เปิดเผยสารสนเทศสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์หรือการตัดสินใจลงทุนทันทีผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์
  • จัดทำและนำส่งรายงานทางการเงินรายไตรมาสและรายปีตามกำหนดเวลา
  • เปิดเผยรายการระหว่างกันและรายการที่เกี่ยวโยงกันตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
2. การรายงานผลประกอบการและสถานะการเงิน
  • จัดประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) เพื่อชี้แจงผลประกอบการ ผลการดำเนินงานของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 1 ครั้ง ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขาย
  • จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี
  • จัดทำรายงานประจำปีและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ส่งให้ผู้ถือหุ้นและ ก.ล.ต.
3. การปรับโครงสร้างและการบริหารจัดการ
  • รักษาสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
  • จัดให้มีระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในที่มีประสิทธิภาพ
  • ปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance)
4. การดูแลผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
  • จัดตั้งหน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์เพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น
  • ปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในการเข้าถึงข้อมูลและการใช้สิทธิออกเสียง
5. การปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่อง Silent Period
  • ผู้เข้าข่าย Strategic Shareholders จะถูกห้ามนำหุ้นของตนซึ่งมีจำนวนรวมกัน 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO ออกขายภายใน 1 ปี นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยทยอยขายหุ้นได้ 25% ของหุ้นที่ถูกห้ามขาย เมื่อครบกำหนด 6 เดือน

การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นในตลาด และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทในฐานะบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ บริษัทควรมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดยการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องและรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย



เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่