Article
19 พฤศจิกายน 2567
IPO Roadmap: แนวทางการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์
IPO Roadmap เป็นแนวทางสำคัญสำหรับบริษัทที่ต้องการเปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชนเป็นบริษัทมหาชน โดยครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างองค์กร การพัฒนาแผนธุรกิจและโครงสร้างรายงานทางการเงิน การทำ Due Diligence ไปจนถึงการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) และการดำเนินงานหลังเข้าจดทะเบียน เพื่อระดมทุน เพิ่มความน่าเชื่อถือ และเพิ่มสภาพคล่องของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ พร้อมทั้งพิจารณาข้อควรระวังและประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างรอบคอบ รวมถึงการเลือกผู้จัดการจัดจำหน่าย การกำหนดราคาหุ้น และการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความสนใจจากนักลงทุนในระยะยาว
บริษัทตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยเหตุผลหลายประการ
1. การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร
ในการเลือกผู้จัดการจัดจำหน่าย บริษัทควรพิจารณาเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้
1. การเตรียมเอกสารสำคัญ
1. วิธีการประเมินมูลค่าบริษัท
Book Building เป็นกระบวนการที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายใช้ในการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO โดยมีขั้นตอนดังนี้
3. ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดราคา
การสร้างความน่าสนใจผ่านแคมเปญการตลาดและโรดโชว์
1. การเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นในตลาด และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทในฐานะบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ บริษัทควรมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดยการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องและรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
เกี่ยวกับ Optiwise
Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่
1. ความหมายของ IPO และความสำคัญของการเข้าจดทะเบียน
IPO หรือ Initial Public Offering คือการเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ของบริษัทมหาชนจำกัดต่อประชาชนเป็นครั้งแรก เป็นกระบวนการที่บริษัทเอกชนเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทมหาชนและเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการผ่านการซื้อหุ้นบริษัทตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วยเหตุผลหลายประการ
- การระดมทุน: IPO เป็นวิธีการระดมทุนที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำไปใช้ในการขยายกิจการ ลงทุนในโครงการใหม่ หรือชำระหนี้
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การเป็นบริษัทจดทะเบียนช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทในสายตาของลูกค้า คู่ค้า และสถาบันการเงิน
- เข้าถึงแหล่งเงินทุน: บริษัทจดทะเบียนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้หลากหลายขึ้น ทั้งจากตลาดทุนและตลาดเงิน
- สร้างมูลค่าและสภาพคล่อง: หุ้นของบริษัทจดทะเบียนมีสภาพคล่องสูงกว่า ทำให้ผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายได้ง่ายและมีมูลค่าตลาดที่ชัดเจน
- โอกาสทางธุรกิจ: การเป็นบริษัทจดทะเบียนเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจ สร้างพันธมิตร และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี: บริษัทจดทะเบียนและผู้ถือหุ้นอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามที่กฎหมายกำหนด
- การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ: การปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีช่วยพัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ความมั่นคงและการเติบโตในระยะยาว: การระดมทุนผ่าน IPO ช่วยให้บริษัทมีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเติบโตในระยะยาว
- การสร้างแบรนด์: การเป็นบริษัทจดทะเบียนช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2. การเตรียมตัวสำหรับ IPO
การเตรียมตัวสำหรับ IPO เป็นกระบวนการสำคัญที่บริษัทต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและครอบคลุม เพื่อให้มีความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีขั้นตอนหลักดังนี้1. การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร
- จัดโครงสร้างการถือหุ้นและธุรกิจให้ชัดเจน โดยแยกธุรกิจหลักออกจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้อง
- แต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ โดยต้องมีกรรมการอิสระอย่างน้อย 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมการทั้งหมด
- จัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการชุดย่อยอื่นๆ ตามความเหมาะสม
- จัดทำแผนธุรกิจที่ชัดเจน แสดงถึงวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และเป้าหมายการเติบโตในระยะยาว
- พัฒนาระบบบัญชีและการเงินให้เป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน (TFRS)
- จัดทำงบการเงินย้อนหลัง 2-3 ปี ที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.
- ดำเนินการตรวจสอบสถานะทางกฎหมาย การเงิน และการดำเนินงานของบริษัทอย่างละเอียด
- ประเมินความเสี่ยงและจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
- ตรวจสอบและปรับปรุงระบบควบคุมภายในให้มีความรัดกุมและเป็นไปตามมาตรฐาน
- พัฒนาทีมงานนักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relations) เพื่อรองรับการสื่อสารกับนักลงทุนและตลาดทุน
- จัดอบรมพนักงานเกี่ยวกับการเป็นบริษัทจดทะเบียนและการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง
- พัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรองรับการรายงานข้อมูลและการเปิดเผยสารสนเทศ
- คัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงินที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของบริษัท
- ร่วมกับที่ปรึกษาทางการเงินในการวางแผนการระดมทุนและกำหนดโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม
- จัดทำแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ 69-1) และหนังสือชี้ชวน
- รวบรวมเอกสารสำคัญทางกฎหมายและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
3. การเลือกผู้จัดการจัดจำหน่าย (Underwriter)
ผู้จัดการจัดจำหน่าย (Underwriter) มีบทบาทสำคัญในกระบวนการ IPO โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างบริษัทที่ต้องการระดมทุนและนักลงทุน ผู้จัดการจัดจำหน่ายจะช่วยในการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น จัดทำเอกสารสำคัญ และกระจายหุ้นให้กับนักลงทุนในการเลือกผู้จัดการจัดจำหน่าย บริษัทควรพิจารณาเกณฑ์ต่างๆ ดังนี้
- ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม: ผู้จัดการจัดจำหน่ายควรมีความเข้าใจลึกซึ้งในธุรกิจและอุตสาหกรรมของบริษัท
- ประสบการณ์และประวัติการจัดจำหน่าย: พิจารณาผลงานในอดีต โดยเฉพาะในการจัดจำหน่ายหุ้น IPO ที่ประสบความสำเร็จ
- ความสามารถในการประเมินราคาหุ้น: ต้องมีทักษะในการวิเคราะห์และกำหนดราคาเสนอขายที่เหมาะสม
- เครือข่ายนักลงทุน: ผู้จัดการจัดจำหน่ายควรมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนสถาบันและรายย่อย
- ความสามารถในการให้คำปรึกษา: ต้องสามารถให้คำแนะนำในด้านต่างๆ ตลอดกระบวนการ IPO
- การทำ Book Building: รวบรวมความสนใจจากนักลงทุนสถาบันเพื่อกำหนดราคาเสนอขายที่เหมาะสม
- การจัดสรรหุ้น: กำหนดสัดส่วนการจัดสรรหุ้นให้แก่นักลงทุนประเภทต่างๆ โดยต้องจัดสรรให้ผู้ลงทุนทั่วไปอย่างเพียงพอ
- การจัดโรดโชว์: นำเสนอข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนในเมืองสำคัญต่างๆ เพื่อสร้างความสนใจในหุ้น IPO
- การประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแล: ช่วยบริษัทในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์
4. ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียน
ขั้นตอนการยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นกระบวนการสำคัญที่บริษัทต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้1. การเตรียมเอกสารสำคัญ
- จัดทำงบการเงินย้อนหลัง 2-3 ปีที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีที่ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.
- เตรียมแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ 69-1) และหนังสือชี้ชวน
- รวบรวมเอกสารสำคัญทางกฎหมายและสัญญาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
- จัดทำแบบคำขอและเอกสารประกอบการยื่นคำขอให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- จัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติการแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด (กรณีที่ยังไม่ได้เป็นบริษัทมหาชน)
- ขออนุมัติการเพิ่มทุนและการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน
- แต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบตามเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์
- ยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อ ก.ล.ต. พร้อมเอกสารประกอบ
- ยื่นคำขอจดทะเบียนหลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
- ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์จะตรวจสอบเอกสารและคุณสมบัติของบริษัท
- อาจมีการขอข้อมูลเพิ่มเติมหรือชี้แจงประเด็นต่างๆ
- เมื่อได้รับอนุมัติ ก.ล.ต. จะออกหนังสือรับรองการอนุญาตให้เสนอขายหลักทรัพย์
- ตลาดหลักทรัพย์จะประกาศรับหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
5. วิธีการประเมินมูลค่าบริษัทและการตั้งราคาหุ้นเริ่มต้นที่เหมาะสม
การประเมินมูลค่าบริษัทและการตั้งราคาหุ้นเริ่มต้นที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการ IPO โดยมีวิธีการและปัจจัยที่ต้องพิจารณาดังนี้1. วิธีการประเมินมูลค่าบริษัท
- วิธี P/E Ratio (Price to Earnings Ratio): เป็นการเปรียบเทียบระหว่างราคาหุ้นกับกำไรต่อหุ้น โดยนำ P/E ของบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันมาเป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ
- วิธี Dividend Discount Model (DDM): ประเมินมูลค่าหุ้นจากการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของเงินปันผลในอนาคตที่คาดว่าจะได้รับ
- วิธี Discounted Cash Flow (DCF): คำนวณมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตที่บริษัทคาดว่าจะสร้างได้
- วิธีเปรียบเทียบตลาด (Comparable Method): เปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงินกับบริษัทที่มีลักษณะใกล้เคียงกันในอุตสาหกรรมเดียวกัน
Book Building เป็นกระบวนการที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายใช้ในการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO โดยมีขั้นตอนดังนี้
- กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น
- เชิญนักลงทุนสถาบันแสดงความสนใจซื้อหุ้นและระบุราคาที่ต้องการ
- รวบรวมข้อมูลความต้องการซื้อจากนักลงทุน
- วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายที่เหมาะสม
3. ปัจจัยที่มีผลต่อการกำหนดราคา
- ภาวะตลาด: สภาพเศรษฐกิจโดยรวมและความผันผวนของตลาดหุ้นมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
- กลุ่มอุตสาหกรรม: แนวโน้มและการเติบโตของอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่
- ผลประกอบการและศักยภาพการเติบโต: ประวัติผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและแผนธุรกิจในอนาคต
- ความน่าสนใจของบริษัท: นวัตกรรม ความได้เปรียบทางการแข่งขัน และการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
- โครงสร้างเงินทุน: อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนและความสามารถในการทำกำไร
- ความต้องการของนักลงทุน: ผลตอบรับจากการทำ roadshow และ book building
- กฎระเบียบและนโยบายของหน่วยงานกำกับดูแล: เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการกำหนดราคาเสนอขายของ ก.ล.ต.
6. การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (Public Offering)
การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (Public Offering) เป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการ IPO ที่บริษัทเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาเป็นเจ้าของกิจการผ่านการซื้อหุ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้การสร้างความน่าสนใจผ่านแคมเปญการตลาดและโรดโชว์
- จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์: สร้างเว็บไซต์ IPO (หรือ IR Website), วิดีโอแนะนำบริษัท และเอกสารข้อมูลสำคัญเพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุน
- จัดโรดโชว์: นำเสนอข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์ในเมืองสำคัญต่างๆ เพื่อสร้างความสนใจในหุ้น IPO
- จัดประชุมนักลงทุนรายย่อย: จัดงานให้ข้อมูลแก่นักลงทุนทั่วไปเพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในธุรกิจ
- สื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์: ใช้สื่อสังคมออนไลน์และแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเข้าถึงนักลงทุนรุ่นใหม่
- กำหนดสัดส่วนการจัดสรร: แบ่งสัดส่วนการจัดสรรหุ้นระหว่างนักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน โดยต้องจัดสรรให้ผู้ลงทุนทั่วไปอย่างเพียงพอตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
- เปิดจองซื้อสำหรับนักลงทุนสถาบัน: ดำเนินการ Book Building เพื่อรวบรวมความต้องการซื้อและกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย
- เปิดจองซื้อสำหรับนักลงทุนทั่วไป: กำหนดช่วงเวลาจองซื้อ ผ่านตัวแทนจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ได้รับการแต่งตั้ง
- การชำระเงินค่าจองซื้อ: นักลงทุนต้องชำระเงินค่าจองซื้อตามวิธีการที่กำหนด เช่น การโอนเงิน หรือการตัดบัญชีอัตโนมัติ
- การจัดสรรหุ้น: หากมีผู้จองซื้อเกินจำนวนที่เสนอขาย จะใช้วิธีการจัดสรรตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน เช่น การสุ่มหรือการเฉลี่ยตามสัดส่วน
- การคืนเงินค่าจองซื้อ: ในกรณีที่ไม่ได้รับการจัดสรรหรือได้รับการจัดสรรไม่ครบตามจำนวนที่จองซื้อ บริษัทจะดำเนินการคืนเงินภายในระยะเวลาที่กำหนด
7. การจดทะเบียนและการเริ่มต้นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
การจดทะเบียนและการเริ่มต้นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญในกระบวนการ IPO โดยมีรายละเอียดดังนี้- การยื่นคำขอจดทะเบียน: บริษัทต้องยื่นคำขอจดทะเบียนหลักทรัพย์ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) พร้อมเอกสารประกอบ เช่น หนังสือชี้ชวน งบการเงิน และรายงานการกระจายการถือหุ้น
- การพิจารณาคำขอ: ตลาดหลักทรัพย์จะพิจารณาคุณสมบัติของบริษัทตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ทุนชำระแล้ว ผลการดำเนินงาน และการกระจายการถือหุ้นรายย่อย
- การอนุมัติรับหลักทรัพย์: เมื่อบริษัทผ่านการพิจารณา คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์จะอนุมัติให้รับหลักทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
- การประกาศวันเริ่มซื้อขาย: ตลาดหลักทรัพย์จะประกาศวันเริ่มซื้อขายหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ หลังจากการจัดสรรหุ้นเสร็จสิ้น
- พิธีเปิดการซื้อขาย: ในวันแรกของการซื้อขาย จะมีพิธีเปิดการซื้อขายอย่างเป็นทางการ โดยผู้บริหารบริษัทจะเคาะฆ้องเปิดตลาดที่ตลาดหลักทรัพย์
- การซื้อขายวันแรก: นักลงทุนสามารถเริ่มซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทหลักทรัพย์ได้ตามกลไกตลาด โดยราคาหุ้นอาจมีความผันผวนสูงในช่วงแรก
- การติดตามผล: บริษัทต้องติดตามสภาพคล่องและราคาซื้อขายของหุ้นอย่างใกล้ชิด และพร้อมสื่อสารกับนักลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น
8. การดูแลและปฏิบัติตามข้อกำหนดหลัง IPO
หลังจากบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว มีหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อรักษาสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ดังนี้1. การเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง
- เปิดเผยสารสนเทศสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์หรือการตัดสินใจลงทุนทันทีผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์
- จัดทำและนำส่งรายงานทางการเงินรายไตรมาสและรายปีตามกำหนดเวลา
- เปิดเผยรายการระหว่างกันและรายการที่เกี่ยวโยงกันตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
- จัดประชุมนักวิเคราะห์ (Analyst Meeting) เพื่อชี้แจงผลประกอบการ ผลการดำเนินงานของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุน และบุคคลที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อย 1 ครั้ง ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขาย
- จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีภายใน 4 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดรอบปีบัญชี
- จัดทำรายงานประจำปีและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) ส่งให้ผู้ถือหุ้นและ ก.ล.ต.
- รักษาสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด
- จัดให้มีระบบการควบคุมภายในและการตรวจสอบภายในที่มีประสิทธิภาพ
- ปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance)
- จัดตั้งหน่วยงานนักลงทุนสัมพันธ์เพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกับนักลงทุนและผู้ถือหุ้น
- ปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะในการเข้าถึงข้อมูลและการใช้สิทธิออกเสียง
- ผู้เข้าข่าย Strategic Shareholders จะถูกห้ามนำหุ้นของตนซึ่งมีจำนวนรวมกัน 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO ออกขายภายใน 1 ปี นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยทยอยขายหุ้นได้ 25% ของหุ้นที่ถูกห้ามขาย เมื่อครบกำหนด 6 เดือน
การปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้อย่างเคร่งครัดจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน รักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นในตลาด และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทในฐานะบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ บริษัทควรมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว โดยการพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องและรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
เกี่ยวกับ Optiwise
Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่