งบการเงิน คือ อะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุน? | Optiwise
Article
22 ธันวาคม 2567

งบการเงินคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุน?

งบการเงินคืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของนักลงทุน?

สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาวิธีวิเคราะห์ธุรกิจหรือพิจารณาการลงทุนในหุ้น การทำความเข้าใจ "งบการเงิน" ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ งบการเงินเปรียบเสมือนแผนที่ทางการเงินของบริษัทที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถมองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพทางการเงินที่มั่นคงหรือปัญหาที่อาจซ่อนอยู่ เราจะพานักลงทุนไปรู้จักกับงบการเงินเบื้องต้น เพื่อสร้างพื้นฐานความรู้และเตรียมพร้อมสำหรับการวิเคราะห์เชิงลึกในตอนต่อๆ ไป

งบการเงิน คือ อะไร? ใน งบการเงิน มีอะไรบ้าง?

งบการเงิน (Financial Statement) เป็นเอกสารสำคัญที่แสดงผลการดำเนินงานและสถานะทางการเงินของบริษัทในช่วงเวลาหนึ่ง โดยมีข้อมูลที่ช่วยให้นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจภาพรวมของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่าย

งบการเงินยังช่วยตอบคำถามให้กับนักลงทุน เช่น

  • บริษัทมีรายได้หรือกำไรเพียงพอหรือไม่?
  • ธุรกิจมีศักยภาพในการเติบโตหรือไม่?
  • ความเสี่ยงทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับใด?

องค์ประกอบหลักของงบการเงิน ใน งบการเงิน มีอะไรบ้าง?

งบการเงินแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักที่สำคัญ ได้แก่

1. งบดุล (Balance Sheet)

งบดุลแสดงข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สิน (Assets) หนี้สิน (Liabilities) และส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยเปรียบเสมือนภาพถ่ายทางการเงินของบริษัท ณ จุดใดจุดหนึ่ง ที่จะแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีอะไรอยู่บ้าง (ทรัพย์สิน) และเป็นหนี้อะไรบ้าง (หนี้สิน) รวมถึงความมั่งคั่งของเจ้าของบริษัท (ส่วนของผู้ถือหุ้น)

  • ทรัพย์สิน: สิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของ เช่น เงินสด สินค้าคงคลัง อาคาร และเครื่องจักร
  • หนี้สิน: สิ่งที่บริษัทต้องชำระ เช่น เงินกู้ การค้างชำระ
  • ส่วนของผู้ถือหุ้น: ความมั่งคั่งที่เหลือหลังหักหนี้สินทั้งหมด

หากจะลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพให้ลองนึกถึงตัวคุณเอง หากคุณมีเงินในบัญชี 50,000 บาท มีโทรศัพท์มือถือที่ซื้อมา 10,000 บาท (ทรัพย์สิน) และยังติดหนี้บัตรเครดิตอยู่ 20,000 บาท (หนี้สิน) เงินที่เหลือจากการหักหนี้สินก็คือ 40,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนของคุณเอง (ส่วนของผู้ถือหุ้น)

สูตรของงบดุลที่นักลงทุนควรทราบ: ทรัพย์สิน = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น

โดยสรุป งบดุลจึงช่วยให้เราเห็นภาพว่า บริษัทมีทรัพย์สินพอที่จะจ่ายหนี้ได้ไหม และเจ้าของยังมีความมั่งคั่งเหลืออยู่แค่ไหนหลังจากจ่ายหนี้ทั้งหมด เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยนักลงทุนตัดสินใจว่าบริษัทสถานะทางการเงินเป็นอย่างไร มีความมั่นคงทางการเงินมากหรือน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะทำให้นักลงทุนเข้าใจสถานะของบริษัทที่กำลังศึกษา

2. งบกำไรขาดทุน (Income Statement)

งบกำไรขาดทุน (Income Statement) เปรียบเสมือน "สมุดบันทึก" ที่จดว่าบริษัทหาเงินมาได้เท่าไหร่ (รายได้) ใช้จ่ายไปเท่าไหร่ (ค่าใช้จ่าย) และสุดท้ายเหลือเงินกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น 1 เดือน หรือ 1 ปี ตัวอย่างข้อมูลในงบกำไรขาดทุน เช่น

  • รายได้จากการขายสินค้า (Revenue): เงินที่บริษัทหาได้จากการขายสินค้า หรือให้บริการ
  • ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Expenses): ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เช่น ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน หรือค่าเช่า
  • กำไรสุทธิ (Net Profit): เงินที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งบ่งบอกว่าบริษัทได้กำไรหรือขาดทุน

โดยสรุป งบกำไรขาดทุนช่วยให้นักลงทุนรู้ว่า บริษัทสามารถทำกำไรได้จริงไหม และการบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพหรือไม่ เป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ว่าบริษัทมีโอกาสเติบโตและสร้างผลตอบแทนในอนาคตหรือไม่

3. งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)

งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) คือ "รายงานการเคลื่อนไหวของเงินสด" ที่แสดงว่า บริษัทมีเงินสดไหลเข้าและไหลออกอย่างไรในช่วงเวลาหนึ่ง เสมือนการตรวจสอบว่าบริษัทมีเงินในกระเป๋าเพียงพอสำหรับใช้จ่ายหรือไม่ และเงินที่เข้ามานั้นมาจากกิจกรรมอะไรบ้าง

ลองนึกถึงตัวคุณเองในแต่ละเดือน คุณมีเงินเดือนเข้ามา (เงินสดไหลเข้า) และต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าอาหาร หรือออมเงิน (เงินสดไหลออก) งบกระแสเงินสดก็เหมือนกับการบันทึกเรื่องเหล่านี้ แต่เป็นของบริษัท

งบกระแสเงินสดแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่:

  • กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Activities): คือเงินสดที่เกิดจากกิจกรรมหลักของธุรกิจ เช่น การขายสินค้าและการจ่ายค่าใช้จ่ายทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น บริษัทขายสินค้าหรือบริการได้เงินสดเข้ามา และจ่ายเงินเดือนพนักงานออกไป
  • กระแสเงินสดจากการลงทุน (Investing Activities): เงินสดที่ใช้หรือได้รับจากการลงทุน เช่น การซื้อหรือขายอุปกรณ์และทรัพย์สิน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทซื้อเครื่องจักรใหม่ (เงินสดออก) หรือขายอาคารเก่า (เงินสดเข้า)
  • กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน (Financing Activities): เงินสดที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืมหรือจ่ายเงินคืน เช่น การระดมทุนหรือจ่ายเงินปันผล ยกตัวอย่างเช่น บริษัทกู้เงินจากธนาคาร (เงินสดเข้า) หรือจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น (เงินสดออก)

โดยสรุป งบกระแสเงินสดช่วยให้นักลงทุนรู้ว่า บริษัทมีเงินสดเพียงพอสำหรับการดำเนินงานหรือไม่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ และจัดการการเงินอย่างเหมาะสมหรือไม่ ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรในงบกำไรขาดทุน แต่หากกระแสเงินสดติดลบ อาจหมายถึงปัญหาทางการเงินในอนาคตได้

ทำไมนักลงทุนต้องอ่านงบการเงินให้เป็น?

การอ่านงบการเงินเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับนักลงทุน เพราะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของธุรกิจ เข้าใจความมั่นคงทางการเงิน และประเมินโอกาสการเติบโตหรือความเสี่ยงของบริษัทที่นักลงทุนสนใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เหตุผลสำคัญที่นักลงทุนควรอ่านงบการเงินให้เป็น ประกอบด้วย

1.ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของธุรกิจ

งบการเงินเปรียบเสมือนหน้าต่างที่เปิดให้นักลงทุนมองเห็นสถานการณ์การเงินทั้งหมดของบริษัท เช่น ทรัพย์สินที่บริษัทถือครอง หนี้สินที่ต้องชำระ และกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้น

2. ประเมินความเสี่ยง

งบการเงินช่วยให้นักลงทุนเห็นความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ เช่น หนี้สินที่มากเกินไปหรือการบริหารเงินสดที่ไม่ดี การมีกระแสเงินสดติดลบอาจบ่งบอกว่าบริษัทไม่มีเงินสดเพียงพอสำหรับการดำเนินธุรกิจในระยะยาว

3. ช่วยในการตัดสินใจลงทุน

การอ่านงบการเงินช่วยให้นักลงทุนเปรียบเทียบบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดทางการเงิน เช่น อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) หรืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) นอกจากนี้ งบการเงินยังช่วยให้นักลงทุนมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของบริษัท เช่น รายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหรือการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ

Key Takeaway: งบการเงินไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มต้นถูกต้อง

แม้งบการเงินอาจดูซับซ้อนสำหรับนักลงทุนมือใหม่ แต่หากนักลงทุนเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐาน นักลงทุนจะสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจ การอ่านงบการเงินช่วยให้นักลงทุนไม่เพียงแต่เข้าใจภาพรวมทางการเงินของบริษัท แต่ยังช่วยให้สามารถประเมินความเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนอย่างมีข้อมูลสนับสนุน การศึกษางบการเงินอย่างละเอียดจะช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นในการเลือกธุรกิจที่มีศักยภาพสูงสุดและลดโอกาสในการสูญเสียเงินลงทุน

เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่