TCFD คือ อะไร? รู้จักกับมาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ | Optiwise
Article
05 เมษายน 2568

TCFD คืออะไร? รู้จักกับมาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ

TCFD คืออะไร? รู้จักกับมาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ

TCFD หรือ Task Force on Climate-related Financial Disclosures เป็นกรอบการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก่อตั้งโดย Financial Stability Board ในปี 2015 เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ เพิ่มความโปร่งใสในการรายงาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทั้งยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล รวมถึงในประเทศไทยที่หน่วยงานกำกับดูแลส่งเสริมให้บริษัทต่างๆ ปฏิบัติตามแนวทางนี้เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

TCFD คืออะไร?

TCFD ย่อมาจาก Task Force on Climate-related Financial Disclosures หรือคณะทำงานด้านการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 โดยคณะกรรมการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability Board: FSB) จุดประสงค์หลักคือการพัฒนากรอบการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศแบบสมัครใจและสอดคล้องกัน เพื่อให้บริษัทต่างๆ สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่นักลงทุน ผู้ให้กู้ บริษัทประกันภัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ

TCFD มีความสำคัญในปัจจุบันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของสังคม ทำให้โลกจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ภาคการเงินจึงต้องปรับตัวโดยเพิ่มการสนับสนุนธุรกิจคาร์บอนต่ำ ลดการสนับสนุนธุรกิจคาร์บอนสูง และส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านธุรกิจที่มุ่งสู่การปล่อยคาร์บอนต่ำ TCFD ช่วยให้สถาบันทางการเงินสามารถประเมินและตัดสินใจสนับสนุนทางการเงินที่คำนึงถึงภาวะโลกรวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในระดับโลก TCFD ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยมีประเทศสมาชิก G20 และองค์กรชั้นนำทั่วโลกนำกรอบนี้ไปใช้ในการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ ในประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนและสถาบันการเงินเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง TCFD มาอย่างต่อเนื่อง ก.ล.ต. ยังได้จัดทำ TCFD Recommendations ฉบับภาษาไทยเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการนำไปใช้ในภาคธุรกิจไทย การดำเนินการตามกรอบ TCFD จึงไม่เพียงแต่เป็นการปฏิบัติตามแนวทางสากล แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับข้อกำหนดในอนาคตและการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

บทบาทและความสำคัญของ TCFD

TCFD มีบทบาทสำคัญในการยกระดับการรายงานและเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ กรอบการรายงานของ TCFD ช่วยให้องค์กรสามารถระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในด้านความท้าทาย องค์กรต้องเผชิญกับการประเมินผลกระทบทางการเงินจากความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศที่มีความไม่แน่นอนสูง ทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายและกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การดำเนินการตามแนวทาง TCFD ยังเปิดโอกาสให้องค์กรสามารถระบุโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

TCFD มีความสำคัญต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่ม

  1. นักลงทุน: ได้รับข้อมูลที่โปร่งใสและเปรียบเทียบได้เกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ ช่วยในการตัดสินใจลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว
  2. หน่วยงานกำกับดูแล: สามารถประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น นำไปสู่การออกนโยบายและกฎระเบียบที่เหมาะสม
  3. ลูกค้าและสังคม: ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความมุ่งมั่นและการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมขององค์กร ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้สินค้าและบริการ
  4. พนักงาน: เข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสที่องค์กรเผชิญ รวมถึงกลยุทธ์ในการรับมือ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงในการทำงานและการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต
การนำ TCFD มาใช้จึงไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น แต่ยังส่งเสริมความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือขององค์กรในสายตาของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม นำไปสู่การสร้างมูลค่าทางธุรกิจในระยะยาวและการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

องค์ประกอบของกรอบรายงาน TCFD

TCFD ได้พัฒนากรอบการเปิดเผยข้อมูล (TCFD Framework) ที่ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. Governance (โครงสร้างและการกำกับดูแล)

องค์กรต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกำกับดูแลด้านความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ โดยครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้
  • บทบาทของคณะกรรมการบริษัทในการกำกับดูแลประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ
  • บทบาทของฝ่ายบริหารในการประเมินและจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ

2. Strategy (กลยุทธ์และการวางแผน)

องค์กรต้องเปิดเผยผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงและที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศต่อธุรกิจ กลยุทธ์ และการวางแผนทางการเงิน โดยพิจารณาประเด็นต่อไปนี้

  • ความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศที่องค์กรระบุในระยะสั้น กลาง และยาว
  • ผลกระทบของความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศต่อธุรกิจ กลยุทธ์ และการวางแผนทางการเงินขององค์กร
  • ความยืดหยุ่นของกลยุทธ์องค์กรภายใต้สถานการณ์สภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน

3. Risk Management (การบริหารความเสี่ยง)

องค์กรต้องเปิดเผยวิธีการระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ โดยครอบคลุมประเด็นต่อไปนี้

  • กระบวนการระบุและประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
  • กระบวนการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ
  • วิธีการบูรณาการกระบวนการระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการบริหารความเสี่ยงโดยรวมขององค์กร

4. Metrics & Targets (ตัวชี้วัดและเป้าหมาย)

องค์กรต้องเปิดเผยตัวชี้วัดและเป้าหมายที่ใช้ในการประเมินและจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศที่มีนัยสำคัญ โดยพิจารณาประเด็นต่อไปนี้

  • ตัวชี้วัดที่องค์กรใช้ในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ
  • ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1, 2 และ 3 (ถ้ามี) และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง
  • เป้าหมายที่องค์กรใช้ในการจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ และผลการดำเนินงานเทียบกับเป้าหมาย
องค์ประกอบทั้ง 4 ด้านนี้มีความเชื่อมโยงกัน โดยการกำกับดูแลที่ดีจะช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสม ระบบบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ และกำหนดตัวชี้วัดและเป้าหมายที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ การเปิดเผยข้อมูลตามกรอบ TCFD จะช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าใจวิธีการที่องค์กรจัดการกับความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างครอบคลุมและเป็นระบบ

ความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ

ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสำคัญที่องค์กรต้องพิจารณาในการจัดทำรายงาน TCFD โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก

1. ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks)

ความเสี่ยงทางกายภาพเกิดจากผลกระทบโดยตรงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แบ่งเป็น

  • ความเสี่ยงเฉียบพลัน: เช่น น้ำท่วม พายุรุนแรง ไฟป่า ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและการดำเนินงานขององค์กร
  • ความเสี่ยงเรื้อรัง: เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล การเปลี่ยนแปลงรูปแบบฝน และคลื่นความร้อนที่ยาวนานขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานและประสิทธิภาพการผลิต
องค์กรควรประเมินความเสี่ยงเหล่านี้และพัฒนาแผนรับมือที่เหมาะสม เช่น การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้ทนต่อสภาพอากาศรุนแรง หรือการกระจายแหล่งวัตถุดิบเพื่อลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง

2. ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและเทคโนโลยี (Transition Risks)

ความเสี่ยงประเภทนี้เกิดจากการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ประกอบด้วย

  • ความเสี่ยงด้านนโยบายและกฎหมาย: เช่น การเก็บภาษีคาร์บอน การกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งอาจเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานหรือจำกัดการเติบโตของธุรกิจบางประเภท
  • ความเสี่ยงด้านเทคโนโลยี: การพัฒนาเทคโนโลยีสะอาดอาจทำให้เทคโนโลยีเดิมล้าสมัยและส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันขององค์กร
  • ความเสี่ยงด้านตลาด: การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาสนใจผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
การประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคต แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

ประโยชน์จากการใช้ TCFD

การปรับใช้ TCFD สร้างประโยชน์หลายด้านให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ในระบบการเงินและเศรษฐกิจ

1. ด้านนักลงทุนและสถาบันการเงิน

  • การประเมินความเสี่ยงที่แม่นยำขึ้น: ข้อมูลที่เปิดเผยตาม TCFD ช่วยให้นักลงทุนสามารถประเมินความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศได้อย่างแม่นยำมากขึ้น นำไปสู่การจัดสรรเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตัดสินใจลงทุนที่ดีขึ้น: นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลจาก TCFD ในการเปรียบเทียบบริษัทต่างๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน และตัดสินใจลงทุนโดยคำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาว
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่: สถาบันการเงินสามารถใช้ข้อมูลจาก TCFD ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ เช่น พันธบัตรสีเขียว หรือกองทุนที่เน้นการลงทุนในธุรกิจคาร์บอนต่ำ

2. ด้านองค์กรธุรกิจ

  • การบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ: TCFD ช่วยให้องค์กรสามารถระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศได้อย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถวางแผนรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
  • การสร้างโอกาสทางธุรกิจ: การวิเคราะห์ตามกรอบ TCFD ช่วยให้องค์กรสามารถระบุโอกาสทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • การเพิ่มความน่าเชื่อถือ: การเปิดเผยข้อมูลตาม TCFD ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือขององค์กรในสายตาของนักลงทุน ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ โดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ

3. ด้านผู้กำหนดนโยบายและผู้กำกับดูแล

  • การประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน: ข้อมูลจาก TCFD ช่วยให้ผู้กำกับดูแลสามารถประเมินความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น นำไปสู่การออกนโยบายและกฎระเบียบที่เหมาะสม
  • การสนับสนุนเป้าหมายระดับชาติและระดับโลก: การดำเนินการตามแนวทาง TCFD ช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามความตกลงปารีส
  • การส่งเสริมความโปร่งใสในตลาดทุน: TCFD ช่วยยกระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศในตลาดทุน ทำให้ผู้กำกับดูแลสามารถส่งเสริมความโปร่งใสและประสิทธิภาพของตลาดได้ดียิ่งขึ้น

การปรับใช้ TCFD จึงไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรธุรกิจเท่านั้น แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจโดยรวม โดยช่วยเพิ่มความโปร่งใส ประสิทธิภาพ และความยั่งยืนในการจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ

แนวทางการนำ TCFD สู่การปฏิบัติในองค์กร

การนำ TCFD ไปใช้ในองค์กรเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายและการวางแผนอย่างรอบคอบ โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้

1. การวางโครงสร้างและคณะทำงานภายใน (Internal Governance)

  • จัดตั้งคณะทำงานข้ามสายงาน ประกอบด้วยตัวแทนจากฝ่ายต่างๆ เช่น การเงิน บริหารความเสี่ยง พัฒนาความยั่งยืน และปฏิบัติการ
  • กำหนดบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงในการกำกับดูแลประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ
  • พัฒนานโยบายและกระบวนการภายในเพื่อบูรณาการการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการบริหารความเสี่ยงโดยรวมขององค์กร

2. การประเมินความเสี่ยงและโอกาสผ่านการวิเคราะห์สถานการณ์ (Scenario Analysis)

  • ดำเนินการวิเคราะห์สถานการณ์ที่หลากหลาย รวมถึงสถานการณ์ที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2°C และ 4°C
  • ระบุและประเมินผลกระทบทางการเงินของความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศในระยะสั้น กลาง และยาว
  • พิจารณาทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายและเทคโนโลยี)

3. การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล (Data Collection & Analytics)

  • พัฒนาระบบการเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงาน
  • ใช้เครื่องมือและแพลตฟอร์มดิจิทัลในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามความก้าวหน้าและระบุแนวโน้ม
  • กำหนดตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น Science Based Targets initiative (SBTi)

4. การรายงานและสื่อสารต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Reporting & Stakeholder Engagement)

  • จัดทำรายงานการเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง TCFD โดยครอบคลุมทั้ง 4 องค์ประกอบหลัก
  • บูรณาการข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับรายงานประจำปีและรายงานความยั่งยืน
  • สื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างโปร่งใสและสม่ำเสมอเกี่ยวกับความคืบหน้าในการจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ
  • จัดให้มีการทวนสอบข้อมูลโดยหน่วยงานภายนอกเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของการเปิดเผยข้อมูล

การนำ TCFD ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความมุ่งมั่นจากผู้บริหารระดับสูง การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ตระหนักถึงความสำคัญของประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาความสามารถของบุคลากรอย่างต่อเนื่อง องค์กรควรมองการปฏิบัติตาม TCFD เป็นโอกาสในการพัฒนาและสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

กรณีศึกษา: การใช้ TCFD ในองค์กร

การศึกษากรณีตัวอย่างและแนวปฏิบัติที่ดีจากองค์กรต่างๆ ช่วยให้เห็นภาพการนำ TCFD ไปใช้ในทางปฏิบัติได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ตัวอย่างบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการใช้ TCFD

  1. บริษัท Kellogg: บริษัทอาหารระดับโลกนี้ได้ระบุทั้งความเสี่ยงทางกายภาพและความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่านเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานและธุรกิจ Kellogg ได้วิเคราะห์ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและการผลิตวัตถุดิบหลัก เช่น ข้าวโพดและข้าวสาลี และกำหนดกลยุทธ์ในการปรับตัว รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีการเกษตรที่ทนต่อสภาพอากาศแปรปรวน
  2. ธนาคารกสิกรไทย: เป็นหนึ่งในธนาคารไทยที่เปิดเผยข้อมูลตามข้อเสนอแนะของ TCFD มากที่สุด โดยเปิดเผย 39 ข้อจากข้อเสนอแนะทั้งหมด 60 ข้อ ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ซึ่งครอบคลุมก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยโดยลูกค้าธนาคาร หรือ financed emission แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างครอบคลุม
  3. บริษัท EGCO: บริษัทผลิตไฟฟ้าชั้นนำของไทยได้เปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง TCFD โดยครอบคลุมทั้ง 4 องค์ประกอบหลัก EGCO ได้ดำเนินการวิเคราะห์สถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อประเมินผลกระทบต่อธุรกิจและกำหนดกลยุทธ์การปรับตัว

แนวปฏิบัติหรือ Best Practices จากองค์กรต่างประเทศและในไทย

  1. การบูรณาการการจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับกระบวนการบริหารความเสี่ยงองค์กร: องค์กรชั้นนำหลายแห่งได้รวมการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับกระบวนการบริหารความเสี่ยงทั่วไปขององค์กร ทำให้สามารถจัดการความเสี่ยงได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ
  2. การใช้การวิเคราะห์สถานการณ์ (Scenario Analysis): องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการใช้ TCFD มักดำเนินการวิเคราะห์สถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อประเมินผลกระทบทางการเงินของความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศในระยะสั้น กลาง และยาว
  3. การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้: องค์กรชั้นนำมักกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ (Science-Based Targets) และมีการติดตามและรายงานความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ
  4. การสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: องค์กรที่ประสบความสำเร็จมักมีการสื่อสารและทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ เช่น ลูกค้า ซัพพลายเออร์ และนักลงทุน เพื่อจัดการความเสี่ยงและสร้างโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศร่วมกัน
  5. การพัฒนาความสามารถของบุคลากร: องค์กรชั้นนำลงทุนในการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้ TCFD อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การศึกษากรณีตัวอย่างและแนวปฏิบัติที่ดีเหล่านี้ช่วยให้องค์กรอื่นๆ สามารถเรียนรู้และประยุกต์ใช้แนวทาง TCFD ได้อย่างเหมาะสมกับบริบทของตนเอง นำไปสู่การจัดการความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความเชื่อมโยงของ TCFD กับมาตรฐาน ESG อื่น ๆ

TCFD มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับมาตรฐานและกรอบการรายงานด้านความยั่งยืนอื่นๆ ซึ่งช่วยให้องค์กรสามารถบูรณาการการรายงานข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการเปิดเผยข้อมูล ESG โดยรวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเชื่อมโยงกับมาตรฐาน/กรอบ ESG อื่นๆ

  • SASB (Sustainability Accounting Standards Board): SASB มุ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่มีนัยสำคัญทางการเงินสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม TCFD และ SASB มีความสอดคล้องกันในแง่ของการให้ความสำคัญกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางการเงิน องค์กรสามารถใช้มาตรฐาน SASB เพื่อระบุตัวชี้วัดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับอุตสาหกรรมของตนในการรายงานตาม TCFD
  • GRI (Global Reporting Initiative): GRI เป็นมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลอย่างกว้างขวาง TCFD มีความสอดคล้องกับ GRI ในส่วนของการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ องค์กรสามารถใช้ GRI เป็นพื้นฐานในการรายงานข้อมูลด้านความยั่งยืนโดยรวม และเสริมด้วยการรายงานตาม TCFD สำหรับประเด็นเฉพาะด้านสภาพภูมิอากาศ
  • ISSB (International Sustainability Standards Board): ISSB ได้พัฒนามาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน IFRS S1 และ S2 ซึ่งรวมเอาข้อเสนอแนะของ TCFD เข้าไว้ด้วย องค์กรที่ปฏิบัติตามมาตรฐาน IFRS S1 และ S2 จะถือว่าได้ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ TCFD ด้วย ทำให้การรายงานมีความสอดคล้องและครอบคลุมมากขึ้น

แนวทางในการสื่อสารข้อมูลข้ามมาตรฐาน

  1. จัดทำตารางเชื่อมโยง (Mapping Table): สร้างตารางที่แสดงความเชื่อมโยงระหว่างข้อกำหนดของ TCFD กับมาตรฐานอื่นๆ เช่น SASB, GRI และ ISSB เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเห็นความสอดคล้องและความครอบคลุมของการรายงาน
  2. ใช้การอ้างอิงข้าม (Cross-referencing): ในรายงานตาม TCFD ให้อ้างอิงถึงส่วนที่เกี่ยวข้องในรายงานตามมาตรฐานอื่นๆ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความเชื่อมโยงของข้อมูล
  3. บูรณาการการรายงาน: พิจารณาการจัดทำรายงานแบบบูรณาการที่รวมการเปิดเผยข้อมูลตามมาตรฐานต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยใช้ TCFD เป็นกรอบหลักสำหรับการรายงานด้านสภาพภูมิอากาศ
  4. ใช้เครื่องมือดิจิทัล: นำเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการและนำเสนอข้อมูล เช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ที่สามารถแสดงข้อมูลตามมาตรฐานต่างๆ ได้อย่างยืดหยุ่น
  5. พัฒนาความเข้าใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: จัดทำคำอธิบายหรือคู่มือสำหรับผู้อ่านเพื่อให้เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างมาตรฐานต่างๆ และวิธีการอ่านรายงานแบบบูรณาการ
การผนวก TCFD เข้ากับมาตรฐานอื่นๆ ไม่เพียงแต่ช่วยลดภาระในการรายงาน แต่ยังช่วยให้องค์กรสามารถนำเสนอข้อมูลด้านความยั่งยืนและสภาพภูมิอากาศได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ

แนวโน้มในอนาคตของ TCFD

TCFD มีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในอนาคต เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง

1. บทบาทของ TCFD ในบริบทโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว

TCFD จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยช่วยให้องค์กรสามารถประเมินและจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดเผยข้อมูลตาม TCFD จะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือขององค์กรในสายตาของนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นำไปสู่การจัดสรรเงินทุนที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

2. นโยบายและกฎเกณฑ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แนวโน้มสำคัญคือการบังคับใช้การเปิดเผยข้อมูลตาม TCFD ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง TCFD มาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอนาคตอันใกล้ ก.ล.ต. อาจกำหนดให้การเปิดเผยข้อมูลตาม TCFD เป็นข้อบังคับสำหรับบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่

นอกจากนี้ มาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน IFRS S1 และ S2 ซึ่งรวมเอาข้อเสนอแนะของ TCFD เข้าไว้ด้วย มีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับและนำมาใช้อย่างแพร่หลายในระดับสากล ทำให้การปฏิบัติตาม TCFD กลายเป็นมาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ

3. โอกาสในการนำ TCFD ไปขยายผลในอุตสาหกรรมอื่น ๆ

แม้ว่า TCFD จะเริ่มต้นจากภาคการเงิน แต่มีโอกาสในการขยายผลไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงหรือได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน การขนส่ง และการเกษตร

ตัวอย่างเช่น บริษัท EGCO ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าชั้นนำของไทย ได้นำ TCFD มาใช้ในการวิเคราะห์และเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ แสดงให้เห็นถึงการขยายผลของ TCFD ไปสู่ภาคพลังงาน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในอนาคต คาดว่าจะมีการพัฒนาแนวทางการใช้ TCFD ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้การเปิดเผยข้อมูลมีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์มากขึ้น นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์และรายงานข้อมูลตาม TCFD จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสด้านสภาพภูมิอากาศ

โดยสรุป TCFD จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยเป็นมาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศที่ครอบคลุมทุกภาคส่วน การเตรียมความพร้อมและการปรับตัวขององค์กรต่างๆ ตามแนวทาง TCFD จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

สรุปและแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม

TCFD มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจและสังคมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยช่วยให้องค์กรสามารถระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง TCFD ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือขององค์กร ส่งผลให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

องค์กรต่างๆ ควรเร่งปรับใช้ TCFD เนื่องจากแนวโน้มการบังคับใช้การเปิดเผยข้อมูลตาม TCFD ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย โดยสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลตามแนวทางนี้มาอย่างต่อเนื่อง การเริ่มต้นปรับใช้ TCFD ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้องค์กรมีความพร้อมในการปฏิบัติตามข้อกำหนดในอนาคต และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ

ทิศทางการพัฒนาต่อไปของ TCFD คาดว่าจะมุ่งเน้นการขยายผลไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากภาคการเงิน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงหรือได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การบูรณาการ TCFD กับมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนอื่นๆ เช่น ISSB IFRS S1 และ S2 จะช่วยให้การเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศมีความสอดคล้องและครอบคลุมมากขึ้นในระดับสากล

แหล่งข้อมูลและเอกสารอ้างอิงที่สำคัญสำหรับ TCFD ประกอบด้วย

  • เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ TCFD: www.fsb-tcfd.org
  • รายงาน TCFD Recommendations ฉบับภาษาไทย โดยสำนักงาน ก.ล.ต.
  • TCFD Good Practice Handbook (ฉบับแปลภาษาไทย) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
  • รายงานความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เปิดเผยข้อมูลตามแนวทาง TCFD
  • งานวิจัยและบทความวิชาการเกี่ยวกับการนำ TCFD ไปใช้ในประเทศไทยและต่างประเทศ
การศึกษาและใช้ประโยชน์จากแหล่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถนำ TCFD ไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน

เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารเพื่อเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่