GRI คือ อะไร? การจัดทำรายงานความยั่งยืนตาม GRI Standard เพื่อเปิดเผยข้อมูล ESG | Optiwise
Article
07 เมษายน 2568

GRI คืออะไร? การจัดทำรายงานความยั่งยืนตาม GRI Standard เพื่อเปิดเผยข้อมูล ESG

GRI คืออะไร? การจัดทำรายงานความยั่งยืนตาม GRI Standard เพื่อเปิดเผยข้อมูล ESG

Global Reporting Initiative (GRI) เป็นองค์กรอิสระระดับสากลที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดยมีเป้าหมายในการพัฒนามาตรฐานการรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุม โปร่งใส และเปรียบเทียบได้ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถเปิดเผยข้อมูลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ผ่านโครงสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนและแนวทางปฏิบัติที่ตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างมีประสิทธิภาพ

GRI คืออะไร และมีเป้าหมายอย่างไร

Global Reporting Initiative (GRI) เป็นองค์กรอิสระระหว่างประเทศที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1997 โดยสำนักงานโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) และเครือข่าย CERES, GRI มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์

พันธกิจหลักของ GRI คือการช่วยเหลือองค์กรธุรกิจ ภาครัฐ และองค์กรอื่นๆ ในการทำความเข้าใจและสื่อสารผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืน รวมถึงผลกระทบต่อประเด็นสำคัญเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิทธิมนุษยชน และการต่อต้านคอร์รัปชัน เป้าหมายสำคัญคือการสร้างมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุม โปร่งใส และเปรียบเทียบได้ระหว่างองค์กรและอุตสาหกรรม

GRI มีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจและสังคมในหลายด้าน

  1. สร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ: มาตรฐาน GRI ช่วยให้องค์กรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบทางธุรกิจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างโปร่งใส สร้างความไว้วางใจกับผู้มีส่วนได้เสีย
  2. ส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน: GRI สนับสนุนให้องค์กรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาบุคลากร นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นพลังงานทดแทน
  3. เชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs): GRI ช่วยให้องค์กรสามารถรายงานผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDGs ขององค์การสหประชาชาติ
  4. ส่งเสริมการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์: การรายงานตามมาตรฐาน GRI ช่วยให้องค์กรเห็นช่องว่างระหว่างการดำเนินธุรกิจกับความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย นำไปสู่การพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่องค์กร
  5. สนับสนุนการลงทุนอย่างยั่งยืน: รายงานตามมาตรฐาน GRI เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับนักลงทุนในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืน
GRI ทำงานในลักษณะเครือข่ายที่มีผู้มีส่วนได้เสียมากกว่า 30,000 ราย และมีองค์กรสมาชิกทั่วโลกราว 600 องค์กร ทั้งในภาคธุรกิจเอกชน ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษา และสมาคมการค้าต่างๆ การทำงานร่วมกันนี้ช่วยพัฒนากรอบและแนวปฏิบัติในการจัดทำรายงานความยั่งยืนที่ตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วนและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลก

เหตุผลที่ควรรายงานความยั่งยืนด้วย GRI

การรายงานความยั่งยืนตาม GRI Standards มีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างครอบคลุมและโปร่งใส ความจำเป็นนี้เกิดจากความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียที่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรมากขึ้น

องค์กรที่ใช้ GRI Standards จะได้รับประโยชน์หลายประการ ได้แก่

  1. เพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใส: การรายงานตามมาตรฐานสากลช่วยสร้างความไว้วางใจกับผู้มีส่วนได้เสีย
  2. ระบุความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจ: กระบวนการรายงานช่วยให้องค์กรเข้าใจผลกระทบของตนเองและสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น
  3. ปรับปรุงกลยุทธ์และการดำเนินงาน: ข้อมูลจากการรายงานสามารถนำไปใช้ในการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจและสร้างนวัตกรรม
  4. ดึงดูดนักลงทุน: รายงานความยั่งยืนเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับนักลงทุนที่สนใจการลงทุนอย่างยั่งยืน
  5. เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: องค์กรที่รายงานตาม GRI Standards มักมีภาพลักษณ์ที่ดีและสามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น

เมื่อเปรียบเทียบกับมาตรฐานอื่นๆ GRI มีลักษณะเด่นดังนี้

  • GRI มีขอบเขตกว้างกว่า ครอบคลุมประเด็นความยั่งยืนหลากหลาย ในขณะที่ SASB เน้นเฉพาะประเด็นที่มีผลกระทบทางการเงิน
  • TCFD มุ่งเน้นเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่ GRI ครอบคลุมประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในวงกว้างกว่า
  • GRI เหมาะสำหรับการรายงานแก่ผู้มีส่วนได้เสียที่หลากหลาย ในขณะที่ SASB และ TCFD มุ่งเน้นที่นักลงทุนเป็นหลัก
  • Integrated Reporting เน้นการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินและไม่ใช่การเงิน ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับ GRI ได้เพื่อให้เกิดการรายงานที่ครบถ้วนสมบูรณ์
การเลือกใช้มาตรฐานใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ทรัพยากร และความต้องการเฉพาะขององค์กร โดย GRI เหมาะสำหรับองค์กรที่ต้องการรายงานอย่างครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียที่หลากหลาย

โครงสร้างของมาตรฐาน GRI

โครงสร้างของ GRI Standards ประกอบด้วย 3 ชุดมาตรฐานหลักที่ใช้ร่วมกัน ได้แก่ Universal Standards, Sector Standards และ Topic Standards

1.Universal Standards: เป็นมาตรฐานพื้นฐานที่ทุกองค์กรต้องใช้ในการรายงานความยั่งยืน ประกอบด้วย

  • GRI 1: Foundation 2021 - กำหนดหลักการสำหรับการกำหนดเนื้อหาและคุณภาพของรายงาน
  • GRI 2: General Disclosures 2021 - ครอบคลุมข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับองค์กร เช่น โครงสร้างการกำกับดูแล กลยุทธ์ และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย
  • GRI 3: Material Topics 2021 - แนะนำวิธีการระบุและจัดการประเด็นสำคัญขององค์กร

2. Sector Standards: เป็นมาตรฐานเฉพาะสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม ช่วยให้องค์กรสามารถระบุประเด็นสำคัญและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตน ปัจจุบัน GRI ได้พัฒนา Sector Standards สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ (GR11-14) เช่น น้ำมันและก๊าซ ถ่านหิน การเกษตร และการประมง เหมืองแร่ 

3. Topic Standards: เป็นมาตรฐานที่ให้แนวทางในการรายงานข้อมูลเฉพาะด้าน แบ่งออกเป็น 3 หมวดหลัก

  • Economic Standards (GRI 200 series) - ด้านเศรษฐกิจ
  • Environmental Standards (GRI 300 series) - สิ่งแวดล้อม
  • Social Standards (GRI 400 series) - สังคม
แต่ละ Topic Standard จะประกอบด้วยข้อกำหนดและคำแนะนำสำหรับการรายงานข้อมูลในประเด็นนั้นๆ เช่น การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้พลังงาน หรือสิทธิมนุษยชน

โครงสร้างนี้ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกใช้มาตรฐานที่เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของตน โดยเริ่มจาก Universal Standards เป็นพื้นฐาน จากนั้นใช้ Sector Standards เพื่อระบุประเด็นสำคัญ และใช้ Topic Standards เพื่อรายงานข้อมูลเฉพาะด้านอย่างละเอียด การใช้โครงสร้างนี้ช่วยให้รายงานความยั่งยืนมีความครอบคลุม เปรียบเทียบได้ และตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้เสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนการจัดทำรายงานตาม GRI

การจัดทำรายงานตาม GRI Standards ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้

1. PREPARE - เตรียมการภายในองค์กร
  • ปรับวางกระบวนการภายในให้พร้อม
  • ระบุประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
  • ปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกตามความจำเป็น
2. CONNECT - สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย
  • ระบุกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียหลักทั้งภายในและภายนอกองค์กร
  • จัดทำแผนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่ม
  • ใช้วิธีการที่หลากหลายในการรับฟังความคิดเห็น เช่น การสำรวจ การสัมภาษณ์ การจัดประชุมกลุ่มย่อย
  • วิเคราะห์และสรุปประเด็นสำคัญจากความคิดเห็นที่ได้รับ
3. DEFINE - กำหนดเป้าประสงค์และเนื้อหารายงาน
  • พิจารณาข้อมูลที่ได้รับจากผู้มีส่วนได้เสีย 
  • ปรับกระบวนการภายในให้เอื้อต่อการจัดทำรายงาน
  • กำหนดขอบเขตการรายงาน (Reporting boundary)
  • ทำการประเมินประเด็นที่มีนัยสำคัญ (Materiality assessment)
4. MONITOR - ติดตามและเก็บรวบรวมข้อมูล
  • กำหนดตัวชี้วัดที่เหมาะสมสำหรับแต่ละประเด็นสำคัญ
  • ใช้ระบบการจัดการข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และแบบฟอร์มมาตรฐานในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ
  • ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกและการประชุมกลุ่มย่อยสำหรับข้อมูลเชิงคุณภาพ
  • ตรวจสอบคุณภาพและความน่าเชื่อถือของข้อมูล
5. REPORT - จัดทำรายงาน
  • พิจารณารูปแบบและช่องทางการรายงานที่เหมาะสมกับผู้มีส่วนได้เสียแต่ละกลุ่ม
  • เขียนรายงานโดยใช้โครงสร้างที่สอดคล้องกับ GRI Standards
  • ตรวจสอบความครบถ้วนของการเปิดเผยข้อมูลตามข้อกำหนดของ GRI
  • พิจารณาการตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานภายนอก (External assurance) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรสามารถจัดทำรายงานความยั่งยืนที่มีคุณภาพ โปร่งใส และตอบสนองความต้องการของผู้มีส่วนได้เสีย นอกจากนี้ กระบวนการรายงานยังช่วยให้องค์กรเข้าใจผลกระทบของตนเองและนำไปสู่การพัฒนาการดำเนินงานอย่างยั่งยืนในระยะยาว

GRI กับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

GRI Standards และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มีความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดย GRI ได้พัฒนาเครื่องมือและแนวทางเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถเชื่อมโยงการรายงานความยั่งยืนเข้ากับ SDGs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเชื่อมโยง SDGs ในการจัดทำรายงานความยั่งยืน

  1. ระบุ SDGs ที่เกี่ยวข้อง: องค์กรควรพิจารณาว่าการดำเนินงานของตนส่งผลกระทบหรือมีส่วนสนับสนุน SDGs เป้าหมายใดบ้าง
  2. กำหนดตัวชี้วัดที่สอดคล้อง: เลือกตัวชี้วัดจาก GRI Standards ที่สามารถแสดงผลการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDGs ที่เกี่ยวข้อง
  3. เก็บรวบรวมข้อมูล: จัดเก็บข้อมูลตามตัวชี้วัดที่กำหนด โดยคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับเป้าประสงค์ของ SDGs
  4. วิเคราะห์และรายงานผล: นำเสนอข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุน SDGs ขององค์กรในรายงานความยั่งยืน

ตัวอย่างตัวชี้วัดที่สอดคล้องกันระหว่าง GRI Standards และ SDGs

  • SDG 5 (ความเท่าเทียมทางเพศ) - GRI 405: ความหลากหลายและโอกาสที่เท่าเทียมกัน
  • SDG 8 (งานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ) - GRI 401: การจ้างงาน
  • SDG 12 (การบริโภคและการผลิตที่ยั่งยืน) - GRI 301: วัสดุ และ GRI 306: ของเสีย
  • SDG 13 (การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) - GRI 305: การปล่อยก๊าซเรือนกระจก

GRI และ UN Global Compact ได้ร่วมกันพัฒนาแนวทาง "Business Reporting on the SDGs" เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถบูรณาการ SDGs เข้ากับกระบวนการรายงานความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการรายงานเพื่อแสดงผลลัพธ์ด้าน SDGs โดยใช้โครงสร้าง GRI

  1. ระบุ SDGs ที่เกี่ยวข้องในส่วนต้นของรายงาน
  2. แสดงความเชื่อมโยงระหว่างประเด็นสำคัญ (Material Topics) กับ SDGs ที่เกี่ยวข้อง
  3. ใช้ตัวชี้วัดของ GRI ในการรายงานผลการดำเนินงานที่สนับสนุน SDGs
  4. นำเสนอกรณีศึกษาหรือโครงการที่แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุน SDGs อย่างเป็นรูปธรรม
  5. แสดงเป้าหมายและแผนงานในอนาคตที่สอดคล้องกับ SDGs

การใช้ GRI Standards ในการรายงานผลลัพธ์ด้าน SDGs ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถเปรียบเทียบและประเมินผลการดำเนินงานขององค์กรในบริบทของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับสากลได้อีกด้วย

ตัวอย่างการใช้ GRI ในองค์กร

การประยุกต์ใช้ GRI Standards ในองค์กรมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและบริบทขององค์กร ตัวอย่างการนำ GRI ไปใช้ในองค์กรชั้นนำของไทย ได้แก่

  • บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) ใช้ GRI Standards ในการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนผ่านรายงานความยั่งยืนประจำปี โดยครอบคลุมประเด็นด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
  • บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) นำ GRI Standards มาใช้ในการรายงานความก้าวหน้าด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะในส่วนของการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ประยุกต์ใช้ GRI Standards ในการรายงานประเด็นความยั่งยืนที่สำคัญ ครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
  • บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ใช้ GRI Standards ในการจัดทำรายงานความยั่งยืนประจำปี โดยเน้นการเปิดเผยข้อมูลด้านการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "ศรีตรัง... บริษัทยางสีเขียว"

ในการประยุกต์ใช้ GRI Standards องค์กรเหล่านี้มีแนวทางดังนี้

  • ทำการประเมินประเด็นสำคัญ (Materiality Assessment) เพื่อระบุหัวข้อที่มีความสำคัญต่อองค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย
  • เชื่อมโยงการรายงานกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ
  • ใช้ตัวชี้วัดที่เฉพาะเจาะจงกับอุตสาหกรรมของตน เช่น บริษัทในกลุ่มพลังงานอาจเน้นการรายงานเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานทดแทน
  • นำเสนอข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พร้อมทั้งอธิบายวิธีการจัดการประเด็นสำคัญต่างๆ
  • พิจารณาการตรวจสอบรับรองจากหน่วยงานภายนอก (External Assurance) เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือของรายงาน
การประยุกต์ใช้ GRI Standards อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนได้อย่างโปร่งใส แต่ยังนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการทำงานภายในและการสร้างคุณค่าร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียในระยะยาว

การฝึกอบรมและการรับรองมาตรฐาน GRI

หลักสูตร GRI Certified Standards Training เป็นโปรแกรมการอบรมที่ได้รับการรับรองจาก Global Reporting Initiative (GRI) เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะในการจัดทำรายงานความยั่งยืนตามมาตรฐาน GRI Standards. หลักสูตรนี้ประกอบด้วยเนื้อหาที่ครอบคลุมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

ในประเทศไทย มีหน่วยงานที่ได้รับการรับรองให้จัดอบรมหลักสูตร GRI Certified Standards Training ได้แก่

  1. สถาบันไทยพัฒน์ - จัดอบรมหลักสูตร GRI Standards Certified Training Course 
  2. สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ - จัดอบรมหลักสูตร GRI Certified Standards Training
  3. สถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) - จัดหลักสูตร GRI Certified Training Course on Sustainability Reporting โดยผู้เข้าอบรมจะได้รับใบรับรองหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรม
นอกจากนี้ ยังมีแหล่งข้อมูลออนไลน์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการรายงานความยั่งยืน เช่น เว็บไซต์ของ GRI (www.globalreporting.org) ที่มีคู่มือ แนวทางปฏิบัติ และกรณีศึกษาต่างๆ

การพัฒนาบุคลากรด้านการรายงานความยั่งยืนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องการยกระดับการรายงานของตน. แนวทางในการพัฒนาบุคลากรมีดังนี้
  1. ส่งบุคลากรเข้าร่วมการอบรมที่ได้รับการรับรองจาก GRI
  2. จัดตั้งทีมงานเฉพาะด้านความยั่งยืนในองค์กร
  3. สร้างความร่วมมือระหว่างแผนกต่างๆ เพื่อให้เกิดการบูรณาการด้านความยั่งยืน
  4. ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติงานจริง (On-the-job training)
  5. จัดให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กับองค์กรอื่นๆ

การลงทุนในการพัฒนาบุคลากรด้านการรายงานความยั่งยืนไม่เพียงช่วยยกระดับคุณภาพของรายงาน แต่ยังสนับสนุนให้เกิดการบูรณาการแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าสู่กระบวนการทำงานและการตัดสินใจทางธุรกิจขององค์กรอีกด้วย

แนวโน้มอนาคตของ GRI และการรายงานความยั่งยืน

GRI มีแนวโน้มที่จะพัฒนามาตรฐานให้มีความครอบคลุมและตอบสนองต่อความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการบูรณาการกับมาตรฐานอื่นๆ เช่น SASB และ TCFD เพื่อสร้างระบบการเปิดเผยข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งการรายงานทางการเงินและการรายงานความยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีแนวโน้มที่จะซับซ้อนขึ้น โดยองค์กรต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงกระบวนการรายงานให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยังมีความคาดหวังสูงขึ้นในด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบขององค์กร

แนวโน้มระดับโลกในการรายงาน ESG มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยมีการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงข้อมูล ESG กับผลการดำเนินงานทางการเงิน นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล ESG มากขึ้น เพื่อให้การรายงานมีความแม่นยำและทันต่อเหตุการณ์

การรายงาน ESG ยังมีแนวโน้มที่จะเน้นการเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติมากขึ้น โดยองค์กรต้องแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มในการรายงานผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบขององค์กรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างครอบคลุมมากขึ้น

ในอนาคต คาดว่าจะมีการพัฒนามาตรฐานการรายงาน ESG ที่เป็นสากลมากขึ้น เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างองค์กรและอุตสาหกรรมได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถประเมินผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุปและข้อเสนอแนะ

GRI Standards เป็นกรอบการรายงานความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ช่วยให้องค์กรสามารถสื่อสารผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างครอบคลุมและโปร่งใส โครงสร้างของ GRI ประกอบด้วย Universal Standards, Sector Standards และ Topic Standards ที่ครอบคลุมประเด็นต่างๆ อย่างรอบด้าน

สำหรับองค์กรที่สนใจใช้ GRI ควรพิจารณาดำเนินการดังนี้

  1. ศึกษาและทำความเข้าใจโครงสร้างและหลักการของ GRI Standards อย่างละเอียด
  2. ทำการประเมินประเด็นสำคัญ (Materiality Assessment) เพื่อระบุหัวข้อที่มีความสำคัญต่อองค์กรและผู้มีส่วนได้เสีย
  3. พัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการรายงานตามตัวชี้วัดต่างๆ
  4. สร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่องเพื่อรับฟังความคิดเห็นและความคาดหวัง
  5. พิจารณาการเข้ารับการอบรมหลักสูตร GRI Certified Standards Training เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร

ข้อคิดเพิ่มเติม

  • การรายงานตาม GRI ไม่ใช่เพียงการเปิดเผยข้อมูล แต่เป็นโอกาสในการปรับปรุงกระบวนการทำงานและสร้างคุณค่าร่วมกับผู้มีส่วนได้เสีย
  • องค์กรควรพิจารณาการบูรณาการข้อมูล ESG เข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
  • การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรายงาน

แหล่งข้อมูลสนับสนุนเพิ่มเติม

  • เว็บไซต์ของ GRI (www.globalreporting.org)
  • ศูนย์พัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.setsustainability.com)
  • สถาบันไทยพัฒน์ (www.thaipat.org)

การนำ GRI Standards มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยยกระดับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนขององค์กร สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสีย และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับประเทศและระดับโลก

เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารเพื่อเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่