Sustainability 101: ทำความเข้าใจ “ความยั่งยืน” ใน 5 นาที | Optiwise
Article
10 เมษายน 2568

Sustainability 101: ทำความเข้าใจ “ความยั่งยืน” ใน 5 นาที

Sustainability 101: ทำความเข้าใจ “ความยั่งยืน” ใน 5 นาที

ความยั่งยืน (Sustainability) เป็นแนวคิดสำคัญที่มุ่งสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นปัจจุบันโดยไม่กระทบต่ออนาคต แนวคิดนี้ได้รับการส่งเสริมผ่านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และการบูรณาการในภาคธุรกิจ ชีวิตประจำวัน และนโยบายระดับชาติ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและสมดุลในทุกมิติ

Sustainability คืออะไร? 

Sustainability แปลว่า ความยั่งยืน หรือหมายถึง การพัฒนาและการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในปัจจุบันโดยคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายคือการตอบสนองความต้องการของคนในยุคปัจจุบัน โดยไม่ทำลายหรือทำให้ทรัพยากรหมดไป และไม่ส่งผลกระทบในทางลบต่อความสามารถของคนรุ่นต่อๆ ไปในการตอบสนองความต้องการของพวกเขาเอง

ความสำคัญของความยั่งยืนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้ ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการขาดแคลนทรัพยากร ยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างยั่งยืน

ความเป็นมาของแนวคิดความยั่งยืน

แนวคิดเรื่องความยั่งยืนได้รับการพัฒนาและเผยแพร่ในระดับสากลผ่านการประชุมและข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญ ดังนี้

  1. รายงาน Brundtland (1987): เป็นจุดเริ่มต้นของการนิยามความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา (World Commission on Environment and Development)
  2. การประชุมสุดยอดโลก Earth Summit ที่ริโอ เดอ จาเนโร (1992): นำไปสู่การรับรองแผนปฏิบัติการ 21 (Agenda 21) ซึ่งเป็นแผนแม่บทระดับโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน
  3. เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals, MDGs) (2000-2015): กำหนดเป้าหมาย 8 ประการเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและการพัฒนาทั่วโลก
  4. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals, SDGs) (2015-2030): เป็นวาระการพัฒนาที่ต่อเนื่องจาก MDGs โดยกำหนดเป้าหมาย 17 ข้อที่ครอบคลุมมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างบูรณาการ

การนำแนวคิดความยั่งยืนไปปฏิบัติในภาคธุรกิจได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยองค์กรต่างๆ เริ่มให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกเหนือจากผลประกอบการทางการเงิน การจัดทำรายงานความยั่งยืน (Sustainability Report) เป็นเครื่องมือสำคัญที่องค์กรใช้ในการเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย

ในประเทศไทย แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้รับการยอมรับว่าสอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน และได้ถูกนำมาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศ การบูรณาการแนวคิดความยั่งยืนเข้ากับนโยบายและแผนพัฒนาระดับชาติ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวคิดหลักความยั่งยืน: เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

แนวคิดความยั่งยืนตั้งอยู่บนพื้นฐานของ 3 เสาหลัก หรือที่เรียกว่า "Three Pillars of Sustainability" ประกอบด้วย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความเชื่อมโยงและส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน

  1. ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ (Economic Sustainability): มุ่งเน้นการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ยั่งยืน และกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง ครอบคลุมประเด็นเช่น การจ้างงานที่มีคุณค่า การลดความยากจน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน
  2. ความยั่งยืนทางสังคม (Social Sustainability): เน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การลดความเหลื่อมล้ำ การสร้างความเท่าเทียมทางเพศ และการเข้าถึงบริการพื้นฐานอย่างทั่วถึง เช่น การศึกษา สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหาร
  3. ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability): มุ่งเน้นการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมการผลิตและบริโภคที่ยั่งยืน

เป้าหมายหลักของ Sustainability คือ

  • รักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้สำหรับคนรุ่นถัดไป
  • ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชน
  • ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจที่สมดุลและยั่งยืน
  • ลดผลกระทบทางลบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ

ความเชื่อมโยงระหว่างเสาหลักทั้งสามมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ตัวอย่างเช่น

  • การพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Economy): สามารถสร้างงานสีเขียว (Green Jobs) ซึ่งนำไปสู่การลดความยากจนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน
  • การส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพ (เสาหลักด้านสังคม): จะช่วยพัฒนาทักษะแรงงานและเพิ่มผลิตภาพทางเศรษฐกิจ (เสาหลักด้านเศรษฐกิจ) ขณะเดียวกันก็สร้างความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม (เสาหลักด้านสิ่งแวดล้อม)
  • การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน (เสาหลักด้านสิ่งแวดล้อม): ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพ (เสาหลักด้านสังคม) และสนับสนุนภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม (เสาหลักด้านเศรษฐกิจ)

อย่างไรก็ตาม หากขาดสมดุลระหว่างเสาหลักทั้งสาม อาจนำไปสู่ปัญหาที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง เช่น

  1. การเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยละเลยมิติด้านสิ่งแวดล้อม: ส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งในระยะยาวจะส่งผลกระทบย้อนกลับต่อเศรษฐกิจและสังคม
  2. การพัฒนาอุตสาหกรรมโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางสังคม: อาจนำไปสู่ปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงาน ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และการย้ายถิ่นฐานของชุมชน
  3. การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความต้องการทางเศรษฐกิจของชุมชน: อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างนโยบายการอนุรักษ์กับการพัฒนาท้องถิ่น

การสร้างสมดุลระหว่างเสาหลักทั้งสามจึงเป็นความท้าทายสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และประชาชน ในการบูรณาการแนวคิดความยั่งยืนเข้าสู่นโยบาย แผนงาน และการปฏิบัติในทุกระดับ

วิธีประยุกต์ใช้ความยั่งยืนในชีวิตประจำวัน

การประยุกต์ใช้ความยั่งยืนในชีวิตประจำวันเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ โดยเริ่มจากการบริหารจัดการทรัพยากรส่วนบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพ และการเลือกสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การบริหารจัดการทรัพยากรส่วนบุคคล

1. การใช้น้ำอย่างประหยัด

  • ปิดก๊อกน้ำทันทีเมื่อเลิกใช้
  • ตรวจสอบการรั่วไหลของระบบน้ำประปาเป็นประจำ
  • ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ เช่น ฝักบัวและก๊อกน้ำแบบประหยัด

2. การประหยัดพลังงานไฟฟ้า

  • ปิดไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อไม่ใช้งาน
  • เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าเบอร์ 5
  • ใช้แสงธรรมชาติแทนไฟฟ้าเมื่อเป็นไปได้

3. การจัดการขยะ

  • คัดแยกขยะตามประเภท เช่น ขยะรีไซเคิล ขยะอินทรีย์ และขยะทั่วไป
  • ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง
  • นำขยะอินทรีย์ไปทำปุ๋ยหมัก

การเลือกสินค้าและบริการที่ยั่งยืน

  • สนับสนุนสินค้าที่มีการออกแบบ Eco-design เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
  • เลือกซื้อสินค้าที่สามารถ Refill ได้เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุรีไซเคิลหรือมีส่วนประกอบจากวัสดุรีไซเคิล
  • สนับสนุนสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  • เลือกซื้อสินค้าท้องถิ่นหรือสินค้าที่สามารถติดตามแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้

นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันยังสามารถช่วยส่งเสริมความยั่งยืนได้ เช่น

  • ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว หันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เดิน หรือปั่นจักรยานสำหรับระยะทางใกล้ๆ
  • ปลูกต้นไม้หรือพืชผักสวนครัวในบริเวณบ้านเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและลดการพึ่งพาอาหารจากภายนอก
  • ใช้ถุงผ้าหรือถุงที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้แทนถุงพลาสติก
  • สนับสนุนร้านค้าและธุรกิจท้องถิ่นที่มีนโยบายด้านความยั่งยืน
การสร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่คนรอบข้างเกี่ยวกับความสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนก็เป็นส่วนสำคัญในการขยายผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม การเริ่มต้นจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อทุกคนร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง

Sustainability ในภาคธุรกิจ

Sustainability ในภาคธุรกิจกำลังเป็นประเด็นสำคัญที่องค์กรต่างๆ ให้ความสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคและนักลงทุนมีความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น ธุรกิจที่สามารถปรับตัวและนำแนวคิดความยั่งยืนมาใช้จะมีความได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างการยอมรับในตลาด

ความท้าทายสำคัญของการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ได้แก่

  1. การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  2. การสร้างสมดุลระหว่างผลกำไรทางธุรกิจกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  3. การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น
  4. การสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายเหล่านี้ยังนำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจ เช่น

  1. การสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  2. การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน
  3. การลดต้นทุนการผลิตในระยะยาวจากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. การดึงดูดนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance)

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้

  1. Green Business จากภายในสู่ภายนอก: เริ่มจากการทำความเข้าใจตัวตนของแบรนด์และกำหนดเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน รวมถึงการออกแบบโลโก้และบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความเป็น Green Business
  2. ยกระดับสู่ Green Marketing: นำเสนอคุณค่าด้านความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์และบริการผ่านกิจกรรมทางการตลาดที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ
  3. สร้างความแตกต่างของแบรนด์: สื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมของแบรนด์ เช่น การใช้วัสดุทดแทนในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ หรือการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม
  4. ปลูกฝังค่านิยมรักษ์สิ่งแวดล้อมในองค์กร: สร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมของพนักงานในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
  5. รักษามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง: แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว ไม่ใช่เพียงแค่การทำเพื่อภาพลักษณ์ชั่วคราว
การนำกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว อย่างไรก็ตาม องค์กรต้องตระหนักว่าการสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความทุ่มเทอย่างต่อเนื่อง แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะสร้างคุณค่าที่แท้จริงให้กับธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

อนาคตของความยั่งยืน

อนาคตของความยั่งยืนกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยสังคมคาดหวังให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แนวโน้มสำคัญที่จะขับเคลื่อนความยั่งยืนในอนาคตประกอบด้วย

  1. การเติบโตของพลังงานทดแทน: พลังงานแสงอาทิตย์จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยแผงโซลาร์เซลล์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและนวัตกรรมการติดตั้งจะกลายเป็นกระแสหลัก
  2. การเพิ่มขึ้นของงานด้านความยั่งยืน: องค์กรต่างๆ จะมีการเพิ่มตำแหน่งงานด้านความยั่งยืนมากขึ้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการจัดการกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
  3. การบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ: ความยั่งยืนจะกลายเป็นองค์ประกอบหลักของกลยุทธ์ทางธุรกิจ มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และวัฒนธรรมองค์กร
  4. การพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว: นวัตกรรมเทคโนโลยีสีเขียวจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมาย Net Zero Emissions โดยเฉพาะในด้านการผลิตพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการพัฒนาอาคารสีเขียว
  5. การปรับตัวของภาครัฐสู่ยุค Next Normal: ภาครัฐจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการให้มีความยืดหยุ่นและเน้นการให้บริการผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น เช่น การยื่นคำร้องและการขออนุญาตผ่านแอปพลิเคชัน

บทบาทของประชาชนในยุค Next Normal จะเน้นการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนความยั่งยืนมากขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการใช้ชีวิตให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การเลือกใช้พลังงานทดแทนในครัวเรือน การสนับสนุนสินค้าและบริการที่ยั่งยืน และการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ภาครัฐจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการกำหนดนโยบายและมาตรการสนับสนุนการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านความยั่งยืน และการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมในการขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะนำไปสู่การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต


เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารเพื่อเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่