IPO คืออะไร? พื้นฐานที่นักลงทุนต้องรู้ พร้อมแหล่งข้อมูลบริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด | Optiwise
Article
13 เมษายน 2568

IPO คืออะไร? พื้นฐานที่นักลงทุนต้องรู้ พร้อมแหล่งข้อมูลบริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด

IPO คืออะไร? พื้นฐานที่นักลงทุนต้องรู้ พร้อมแหล่งข้อมูลบริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด

ในโลกธุรกิจยุคใหม่ การระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO (Initial Public Offering) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายบริษัทใช้ในการผลักดันการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

บทความนี้จะพาผู้อ่านทำความรู้จักกับความหมายของ IPO ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมความพร้อมของบริษัท ไปจนถึงประเด็นสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน พร้อมแนะนำกลยุทธ์ที่จะช่วยให้การลงทุนในหุ้น IPO มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้องได้อย่างรอบด้านและแม่นยำ

IPO คืออะไร? ความหมายและความสำคัญ

IPO หรือ Initial Public Offering คือกระบวนการที่บริษัทเอกชนเปิดขายหุ้นให้แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อระดมทุนในการขยายกิจการ และเปลี่ยนสถานะจากบริษัทเอกชนเป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

การดำเนินการ IPO ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่มีเป้าหมายในการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของธุรกิจ

ความสำคัญของ IPO

การเสนอขายหุ้น IPO มิใช่เพียงเครื่องมือในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเท่านั้น หากแต่ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรในหลายมิติ ดังนี้

  • ระดมทุนเพื่อการขยายธุรกิจ: IPO ช่วยให้บริษัทสามารถนำเงินทุนไปใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ ยกระดับเทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน หรือขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้
  • เพิ่มสภาพคล่องของหุ้น: เมื่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นของบริษัทสามารถซื้อขายได้อย่างเสรี ส่งผลให้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันได้มากขึ้น
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: บริษัทมหาชนจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการเปิดเผยข้อมูลและธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ซึ่งช่วยเพิ่มความโปร่งใส และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุน รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ
  • เปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของ:  นักลงทุนทั่วไปสามารถซื้อหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต และกลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของกิจการ

เหตุผลที่บริษัทเลือกเข้าตลาดหลักทรัพย์

เบื้องหลังการตัดสินใจของบริษัทในการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ มักมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยเหตุผลสำคัญประกอบด้วย

  • การระดมทุนโดยไม่เพิ่มภาระหนี้สิน: การเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเป็นทางเลือกในการจัดหาเงินทุนที่ไม่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยหรือข้อผูกพันจากหนี้สิน
  • การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: เมื่อบริษัทมีเงินทุนในมือมากขึ้น ย่อมสามารถลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ขยายกำลังการผลิต หรือเปิดตลาดใหม่ได้อย่างคล่องตัว ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในอุตสาหกรรม
  • การยกระดับภาพลักษณ์ขององค์กร: การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ถือเป็นสัญลักษณ์ของความโปร่งใส และมาตรฐานการดำเนินงานที่ได้รับการยอมรับ ซึ่งส่งผลให้บริษัทได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุน คู่ค้า และสาธารณชนมากยิ่งขึ้น
  • การเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นเดิมสามารถแปลงหุ้นเป็นเงินสด: การเข้าตลาดหลักทรัพย์ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้น ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมสามารถขายหุ้นบางส่วนเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว หรือกระจายความเสี่ยงจากการถือครองหุ้นทั้งหมด

ขั้นตอนเตรียมพร้อมก่อนเสนอขายหุ้น IPO

การนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ผ่านการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO) ถือเป็นก้าวสำคัญที่เปิดประตูสู่โอกาสทางธุรกิจในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุน การเพิ่มความน่าเชื่อถือ หรือการเสริมสร้างภาพลักษณ์ในระดับสากล อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของการ IPO ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงโครงสร้าง การบริหารจัดการ การเงิน รวมถึงการปฏิบัติตามเกณฑ์ที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

1. การประเมินความพร้อมของบริษัท

ก่อนเข้าสู่กระบวนการ IPO บริษัทควรประเมินความพร้อมในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งควรมีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นบวกอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ แผนการเติบโตของบริษัทควรมีความชัดเจนและสามารถสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ระยะยาวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งโครงสร้างการบริหารควรมีความโปร่งใส มีระบบควบคุมภายในที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ลงทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

2. การเตรียมความพร้อมเพื่อ IPO

การเตรียมความพร้อมเริ่มต้นจากการปรับโครงสร้างองค์กร โดยแยกธุรกิจหลักออกจากกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทและกรรมการอิสระให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จากนั้นดำเนินการปรับปรุงงบการเงินให้สอดคล้องกับมาตรฐานการรายงานทางการเงินของประเทศไทย (TFRS) และจัดทำแผนการใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้สอบบัญชี และผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriter) เพื่อร่วมดำเนินงานด้านการจัดทำเอกสาร การประเมินมูลค่ากิจการ และการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน รวมถึงการดำเนินการตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) อย่างละเอียด ครอบคลุมทั้งด้านกฎหมาย การเงิน และการบริหารความเสี่ยง

3. ขั้นตอนการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์

เมื่อบริษัทมีความพร้อมครบถ้วน จะยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พร้อมทั้งยื่นหนังสือชี้ชวนและรายงานระบบการควบคุมภายใน หากได้รับอนุมัติภายในระยะเวลาที่กำหนด จึงเข้าสู่กระบวนการกำหนดราคาเสนอขาย (IPO Pricing) โดยอาจใช้วิธีการสำรวจความต้องการของนักลงทุน (Bookbuilding) เพื่อกำหนดราคาที่เหมาะสม

หลังจากนั้นจะเริ่มต้นการประชาสัมพันธ์ผ่านกิจกรรม Roadshow เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ก่อนเปิดให้จองซื้อหุ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน จากนั้นจึงยื่นคำขอเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยพิจารณาจากคุณสมบัติตามที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด ซึ่งบริษัทขนาดใหญ่สามารถยื่นขอจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กอาจเลือกจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ตามความเหมาะสม

4. ข้อกำหนดและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง

บริษัทจะต้องมีผู้ถือหุ้นรายย่อยตามเกณฑ์ที่กำหนด พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และค่าธรรมเนียมแรกเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โดยอัตราค่าธรรมเนียมจะพิจารณาจากขนาดของทุนและประเภทตลาดที่บริษัทเลือกเข้าจดทะเบียน

การเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน ควบคู่กับการดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้บริษัทสามารถผ่านกระบวนการ IPO ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปูทางสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระบบตลาดทุน

รู้ทัน IPO ก่อนตัดสินใจลงทุน

การลงทุนในหุ้นเสนอขายครั้งแรกต่อประชาชนทั่วไป (Initial Public Offering: IPO) มักเป็นที่สนใจของนักลงทุนที่มองหาโอกาสเข้าสู่บริษัทใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจนี้ก็มาพร้อมกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนจึงควรศึกษาและทำความเข้าใจปัจจัยสำคัญต่างๆ อย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน

  1. ทำความเข้าใจธุรกิจและพื้นฐานบริษัท: ก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น IPO นักลงทุนควรศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับโมเดลธุรกิจของบริษัทอย่างรอบด้าน โดยพิจารณาว่าบริษัทดำเนินกิจการอยู่ในอุตสาหกรรมประเภทใด แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมนั้นเป็นอย่างไร ตลอดจนจุดแข็งหรือขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัท รวมถึงกลยุทธ์ในการดำเนินงานและวิสัยทัศน์ในระยะยาว ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
  2. วิเคราะห์ผลประกอบการทางการเงิน: การพิจารณางบการเงินย้อนหลังในช่วง 3-5 ปี จะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของความสามารถในการทำกำไร สภาพคล่อง และสถานะทางการเงินของบริษัทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นักลงทุนมักใช้อัตราส่วนทางการเงิน เช่น อัตราส่วน P/E (ราคาหุ้นต่อกำไรต่อหุ้น), P/BV (ราคาหุ้นต่อมูลค่าทางบัญชี), และ EV/EBITDA เพื่อช่วยประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทอย่างมีหลักเกณฑ์
  3. วัตถุประสงค์ในการระดมทุน: อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้น IPO ว่ามุ่งเน้นเพื่อขยายกิจการ ชำระหนี้สิน หรือต้องการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท หากวัตถุประสงค์มีความชัดเจนและสอดคล้องกับแผนธุรกิจ ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนมากยิ่งขึ้น
  4. ทีมผู้บริหารและวิสัยทัศน์: ความสามารถและประสบการณ์ของทีมผู้บริหารถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาว นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประวัติผู้บริหาร วิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ และศักยภาพในการพัฒนาบริษัทให้สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในตลาด
  5. ประเมินความเสี่ยงและโอกาส: การลงทุนในหุ้น IPO มักมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะในช่วงแรกของการซื้อขาย นักลงทุนจึงควรเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ พร้อมทั้งประเมินทั้งปัจจัยเสี่ยง เช่น ความสามารถในการแข่งขัน หรือความผันแปรของผลประกอบการ รวมถึงโอกาสในการรับผลตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นจากส่วนต่างของราคา หรือสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant)
  6. ประเมินมูลค่าหุ้น: นอกจากการวิเคราะห์งบการเงินและการใช้อัตราส่วนทางการเงิน นักลงทุนควรใช้วิธีการประเมินมูลค่าด้วยการคำนวณกระแสเงินสดที่ลดราคา (Discounted Cash Flow - DCF) เพื่อหามูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคต และนำไปเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อประเมินว่าราคา IPO ที่เสนอมีความเหมาะสมหรือไม่
  7. ข้อควรระวังเพิ่มเติม: นักลงทุนไม่ควรตัดสินใจลงทุนเพียงเพราะบริษัทมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวน (Filing) อย่างละเอียด และตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้จัดจำหน่ายหุ้น (Underwriter) ที่รับผิดชอบในการเสนอขาย เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบและมีข้อมูลรองรับอย่างเพียงพอ

แม้การลงทุนในหุ้น IPO จะเปิดโอกาสให้สร้างผลตอบแทนได้สูง แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนทุกคน ผู้ลงทุนควรพิจารณาและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบคอบ เข้าใจถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และจัดสรรหุ้น IPO ให้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

วางกลยุทธ์ลงทุนในหุ้น IPO

การลงทุนในหุ้น IPO (Initial Public Offering) หมายถึง การเข้าถือหุ้นของบริษัทที่เพิ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก แม้จะเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างผลตอบแทนในระยะเริ่มต้น แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

  1. ทำความเข้าใจ IPO และข้อดีของการลงทุน: IPO คือกระบวนการที่บริษัทเอกชนเปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทมหาชน เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมลงทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อระดมทุนไปใช้ในการขยายธุรกิจ จุดเด่นของการลงทุนในหุ้น IPO ได้แก่ โอกาสซื้อหุ้นในราคาที่อาจต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง มีแนวโน้มการเติบโตสูง และมีโอกาสทำกำไรจากแรงซื้อในวันแรกของการซื้อขาย
  2. วิเคราะห์ข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน: ก่อนลงทุน นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนเพื่อทำความเข้าใจลักษณะธุรกิจ วิสัยทัศน์ของบริษัท และวัตถุประสงค์ของการระดมทุน ควรประเมินศักยภาพในการแข่งขัน ความสามารถในการทำกำไร รวมถึงวิเคราะห์งบการเงินย้อนหลัง และเปรียบเทียบอัตราส่วนทางการเงิน เช่น อัตราส่วน P/E กับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
  3. วางแผนการเข้าซื้ออย่างเป็นระบบ: นักลงทุนควรเริ่มจากการเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้จัดจำหน่ายหุ้น และศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเป้าหมายอย่างรอบด้าน ควรกำหนดวงเงินลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ และหลีกเลี่ยงการใช้เงินกู้ในการลงทุน เพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการเงินในอนาคต
  4. ตั้งเป้าหมายและบริหารความเสี่ยง: ควรกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนให้ชัดเจน เช่น ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้นหรือถือเพื่อการลงทุนในระยะยาว พร้อมทั้งกำหนดจุดขายที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียว แนะนำให้กระจายการลงทุนในหลายอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้กับพอร์ตการลงทุน
  5. ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง: หลังการลงทุน นักลงทุนควรติดตามผลประกอบการและข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งกำหนดจุดตัดขาดทุนล่วงหน้าเพื่อจำกัดความเสียหาย นอกจากนี้ ควรทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นถึงระดับเป้าหมาย รวมถึงเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และพัฒนาทักษะการวิเคราะห์หุ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนในอนาคต

การลงทุนในหุ้น IPO เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าถึงธุรกิจที่มีศักยภาพตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จในการลงทุนขึ้นอยู่กับการวางแผนอย่างรอบคอบ การศึกษาข้อมูลเชิงลึก และการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว

แหล่งข้อมูลบริษัทที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ล่าสุด

การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก หรือ IPO (Initial Public Offering) ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสในการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การมีข้อมูลที่ครบถ้วนและน่าเชื่อถือจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น โดยมีแหล่งข้อมูลที่สำคัญและเชื่อถือได้หลายช่องทาง ดังนี้

  • เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): เป็นแหล่งข้อมูลหลักที่รวบรวมรายชื่อและรายละเอียดของบริษัทที่กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ล่าสุด นักลงทุนสามารถติดตามข้อมูล IPO ได้อย่างเป็นทางการ รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น หนังสือชี้ชวน ราคาจองซื้อ และกำหนดการเสนอขาย
  • เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.): ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่จะเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่มีความสำคัญต่อการศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุน
  • เว็บไซต์บริษัทหลักทรัพย์: เว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ มักมีบทวิเคราะห์และความคิดเห็นเกี่ยวกับหุ้น IPO ที่กำลังจะเข้าตลาด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนมองเห็นมุมมองในด้านพื้นฐานของกิจการ ตลอดจนประเมินความเหมาะสมในการเข้าลงทุน
  • แอปพลิเคชัน Settrade: เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนในการติดตามข้อมูล IPO ผ่านสมาร์ทโฟน โดยมีฟังก์ชัน ‘IPO Performance’ ที่แสดงรายละเอียดของหุ้นที่ IPO ในช่วงสองปีล่าสุด พร้อมด้วยข้อมูลสถิติการซื้อขาย ข้อมูลทางการเงิน และอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง
  • เว็บไซต์ข่าวการเงินและการลงทุน: เช่น InfoQuest ที่มีการอัปเดตข่าวสารเกี่ยวกับหุ้น IPO อย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้นักลงทุนทราบความเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัทที่กำลังจะเข้าตลาด
  • เว็บไซต์ของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน: เว็บไซต์ของบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนมักจะมีหน้าสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะ (IR Website) ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจ แผนงานในอนาคต และรายละเอียดของการเสนอขายหุ้น IPO ที่สำคัญ

การติดตามข้อมูลจากแหล่งที่หลากหลายและน่าเชื่อถือจะช่วยให้นักลงทุนมีความเข้าใจที่รอบด้านเกี่ยวกับบริษัทที่กำลังจะเสนอขายหุ้น อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบ และตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากการลงทุนในหุ้น IPO มักมีความผันผวนและไม่แน่นอนสูงกว่าหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว


เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารเพื่อเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่