ทำความรู้จัก Climate Change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) วิกฤตโลกที่ไม่ควรมองข้าม | Optiwise
Article
15 เมษายน 2568

ทำความรู้จัก Climate Change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) วิกฤตโลกที่ไม่ควรมองข้าม

ทำความรู้จัก Climate Change (การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) วิกฤตโลกที่ไม่ควรมองข้าม

ท่ามกลางสภาพอากาศที่แปรปรวนและทวีความรุนแรงขึ้นในทุกปี “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Change) ไม่ใช่เพียงประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น หากแต่เป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน สุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของมนุษยชาติทั่วโลก

การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหา ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้น และแนวทางในการรับมือที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้นั้น จึงถือเป็นก้าวแรกที่ไม่อาจปล่อยให้ล่าช้าไปมากกว่านี้อีกต่อไป

ความหมายของคำว่า Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หมายถึงปรากฏการณ์ที่มีความสำคัญและได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อโลกและมนุษย์ โดยในที่นี้จะกล่าวถึงความหมายและวิวัฒนาการของแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความหมายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) คือ การเปลี่ยนแปลงของรูปแบบสภาพอากาศในระยะยาวในพื้นที่หนึ่ง ซึ่งอาจคงอยู่เป็นเวลาหลายทศวรรษหรือยาวนานกว่านั้น โดยแต่ละองค์กรได้ให้นิยามของคำนี้แตกต่างกัน ดังนี้

  • ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC): การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งส่งผลต่อองค์ประกอบของบรรยากาศโลกทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงที่นอกเหนือจากความแปรปรวนตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน
  • ตามคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC): การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่อาจมีสาเหตุมาจากความผันแปรตามธรรมชาติ หรือจากกิจกรรมของมนุษย์ก็ได้
  • ตามองค์การนาซา (NASA): การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การเปลี่ยนแปลงระยะยาวของลักษณะสภาพอากาศโดยเฉลี่ย ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดลักษณะภูมิอากาศของโลกทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับภูมิภาค และระดับโลก

การเปลี่ยนแปลงของลักษณะอากาศเฉลี่ยนี้ครอบคลุมถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณน้ำฝน ฤดูกาล และกระแสลม ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก

ความแตกต่างระหว่าง “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” กับ “ภาวะโลกร้อน”

คำว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” (Climate Change) และ “ภาวะโลกร้อน” (Global Warming) มักถูกใช้แทนกันอยู่บ่อยครั้ง แม้ทั้งสองคำจะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ในทางวิชาการแล้วมีความหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

  • ภาวะโลกร้อน (Global Warming): หมายถึง การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและของน้ำในมหาสมุทร ซึ่งเริ่มสังเกตได้ชัดเจนตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา สาเหตุสำคัญมาจากการสะสมของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาวะโลกร้อนจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ที่ใหญ่กว่า คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): เป็นคำที่มีความหมายครอบคลุมและกว้างขวางกว่า โดยรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในลักษณะและรูปแบบของสภาพอากาศในระยะยาว เช่น การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ความถี่และความรุนแรงของพายุ ภัยแล้ง น้ำท่วม รวมถึงการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ซึ่งรวมถึงภาวะโลกร้อนเป็นหนึ่งในผลกระทบที่สำคัญ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปรากฏการณ์ที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมของมนุษย์ทั่วโลก การทำความเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง ตลอดจนการศึกษาพัฒนาการของแนวคิดนี้จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนและกำหนดนโยบายเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้น

การตระหนักรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกภาคส่วนถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างยั่งยืน ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับโลก

ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อโลกและวิถีชีวิตประจำวัน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากแต่เป็นภัยเงียบที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงโลกในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่า ระบบนิเวศ ตลอดจนสุขภาพและคุณภาพชีวิตของมนุษย์ อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นและภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้น กำลังคุกคามความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงความมั่นคงทางอาหาร

ในขณะเดียวกัน ผลกระทบเหล่านี้ยังสร้างภาระทางเศรษฐกิจและสุขภาพ โดยเฉพาะต่อกลุ่มประชากรที่อยู่ในภาวะเปราะบาง โลกจึงกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่ต้องการการตอบสนองอย่างเร่งด่วนและจริงจัง

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และสัตว์ป่า

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้อัตราการอยู่รอดของสิ่งมีชีวิตหลายชนิดลดลง เนื่องจากทรัพยากรอาหารลดลง การสืบพันธุ์ที่ไม่ประสบผลสำเร็จ และสภาพแวดล้อมของสัตว์ป่าพื้นเมืองถูกรบกวน

สัตว์และพืชจำนวนมากกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของถิ่นที่อยู่อาศัย เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น พืชมักปรับตัวด้วยการออกดอกเร็วขึ้นหรือย้ายถิ่นไปยังพื้นที่ที่เย็นกว่า ส่งผลให้สัตว์ที่พึ่งพาพืชเหล่านี้ต้องปรับตัวตาม บางชนิดอาจไม่สามารถปรับตัวได้ทัน จนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

ภัยธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น ไฟป่า พายุ และภัยแล้ง กำลังทำลายแหล่งอาศัยที่สำคัญ จากการศึกษาพบว่า สิ่งมีชีวิตถึงร้อยละ 57 ที่ได้รับการบันทึก แสดงพฤติกรรมที่สะท้อนถึงผลกระทบเชิงลบจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว นอกจากนี้ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นยังเป็นภัยคุกคามต่อสัตว์พื้นเมืองในเขตอาร์กติกและเกาะต่างๆ โดยคาดว่าเกาะมากถึง 19% จากกว่า 4,447 เกาะอาจจมอยู่ใต้น้ำ ส่งผลให้สัตว์เฉพาะถิ่นกว่า 300 ชนิดตกอยู่ในความเสี่ยง

ผลกระทบต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของมนุษย์

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 14.5 ล้านคน และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวม 12.5 ล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลก ระหว่างปี 2030 ถึง 2050 คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยปีละประมาณ 250,000 คน จากภาวะทุพโภชนาการ โรคมาลาเรีย ท้องร่วง และโรคที่เกิดจากความร้อน

อุณหภูมิที่สูงขึ้นและคลื่นความร้อนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค เช่น โรคลมแดดและมะเร็งผิวหนัง ขณะเดียวกันคุณภาพอากาศที่แย่ลงจากโอโซนระดับพื้นผิวที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้โรคทางเดินหายใจ เช่น โรคหอบหืด รุนแรงขึ้น การสัมผัสโอโซนในระดับที่ไม่ปลอดภัยในระยะยาว ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง

ในด้านเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินและโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและประสิทธิภาพการทำงานของประชาชน รวมถึงกระทบต่อภาคส่วนสำคัญ เช่น เกษตรกรรม ป่าไม้ ประมง และการท่องเที่ยว หากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น 4.5°C ภายในปี 2090 คาดว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากความร้อนในเมืองต่างๆ ของสหรัฐอเมริกาประมาณ 9,300 คน และอาจสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนราว 140 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลต่อผลผลิตทางการเกษตร ทำให้เกษตรกรผลิตอาหารได้น้อยลง ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานอาหารและราคาสินค้าโดยตรง โดยเฉพาะชุมชนที่ขาดแคลนอาหารอยู่แล้ว ซึ่งมักอาศัยในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่การแข่งขันระหว่างมนุษย์และสัตว์เพื่อแย่งชิงทรัพยากรพื้นฐานอย่างอาหารและน้ำ

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้กระทบทุกคนอย่างเท่าเทียม กลุ่มประชากรที่เปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก ครอบครัวที่มีรายได้น้อย และชุมชนชายขอบ มักได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุด พวกเขาอาจอาศัยอยู่ในอาคารที่ขาดระบบระบายความร้อนที่เพียงพอ และอาจไม่มีทรัพยากรในการเตรียมพร้อมหรือฟื้นฟูจากภัยพิบัติ เช่น พายุ น้ำท่วม และเหตุการณ์สุดขั้วอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ

ต้นตอและปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีสาเหตุจากทั้งกิจกรรมของมนุษย์และปัจจัยทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน กิจกรรมของมนุษย์ถือเป็นปัจจัยหลักที่เร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนอย่างรวดเร็ว

กิจกรรมของมนุษย์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

  • การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล: การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกหลักที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยระดับของ CO₂ ในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ในปี 2020 มีความเข้มข้นสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 48% อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ไม่ว่าจะเป็นการผลิตไฟฟ้า ภาคการขนส่ง หรือโรงงานอุตสาหกรรม ล้วนมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดวงจรการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่ยากต่อการควบคุม นอกจากนี้ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลยังปล่อยสารมลพิษอื่น ๆ เช่น อนุภาคขนาดเล็ก ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂) และออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
  • การตัดไม้ทำลายป่า: ป่าไม้ทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านกระบวนการสังเคราะห์แสงของต้นไม้และพืชพรรณ การตัดไม้ทำลายป่าจึงลดทอนความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับ CO₂ ส่งผลให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การทำลายป่ายังปล่อยคาร์บอนที่สะสมอยู่ในดินและมวลชีวภาพของต้นไม้ออกสู่บรรยากาศ โดยเฉพาะเมื่อมีการเผาพื้นที่ป่าเพื่อแปลงสภาพเป็นพื้นที่เกษตรกรรมหรือพัฒนาเมือง ข้อมูลล่าสุดระบุว่า การตัดไม้ทำลายป่าเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 11% ของทั้งหมดทั่วโลก และแนวโน้มของการปล่อยก๊าซเหล่านี้ในพื้นที่เขตร้อนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • กิจกรรมอื่น ๆ ของมนุษย์
    • การทำปศุสัตว์: สัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัวและแกะ ปล่อยก๊าซมีเทนระหว่างกระบวนการย่อยอาหาร ซึ่งมีคุณสมบัติในการกักเก็บความร้อนมากกว่า CO₂ หลายเท่า
    • การใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจน: ปุ๋ยเหล่านี้ปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีอายุยาวนานในบรรยากาศ
    • การทิ้งขยะในหลุมฝังกลบ: ขยะอินทรีย์ที่ย่อยสลายในสภาวะไร้อากาศก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกสำคัญ

ปัจจัยทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

แม้ว่ากิจกรรมของมนุษย์จะเป็นสาเหตุหลักในปัจจุบัน แต่ปัจจัยทางธรรมชาติก็มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาวเช่นกัน ได้แก่

  • กิจกรรมของภูเขาไฟ: การปะทุของภูเขาไฟส่งผลต่ออุณหภูมิของโลกทั้งในทางที่ทำให้เย็นลงและร้อนขึ้น โดยปล่อยอนุภาคที่สามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไป ทำให้อุณหภูมิโลกลดลง ในขณะเดียวกันก็ปล่อย CO₂ ออกสู่บรรยากาศ อย่างไรก็ตาม ปริมาณ CO₂ ที่ภูเขาไฟปล่อยออกมานั้นน้อยกว่าที่มนุษย์ปล่อยถึง 50 เท่า จึงไม่ถือเป็นปัจจัยหลักของภาวะโลกร้อน
  • การเปลี่ยนแปลงของรังสีจากดวงอาทิตย์: แม้ว่าแสงอาทิตย์จะมีผลต่อภูมิอากาศของโลก แต่การเปลี่ยนแปลงของรังสีจากดวงอาทิตย์ในช่วงที่ผ่านมาไม่มากพอที่จะอธิบายภาวะโลกร้อนในปัจจุบันได้ หากรังสีจากดวงอาทิตย์เพิ่มขึ้นจริง อุณหภูมิของชั้นบรรยากาศทั้งหมดจะต้องเพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่พบคือ การอุ่นขึ้นส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศล่างเท่านั้น
  • การเปลี่ยนแปลงวงโคจรของโลก: โลกมีวัฏจักรอุ่นและเย็นเป็นระยะตามการเปลี่ยนแปลงของวงโคจรและการเอียงของแกนโลก ซึ่งเรียกว่า “วัฏจักรมิลานโควิช” (Milankovitch cycles) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลต่อการกระจายพลังงานแสงอาทิตย์ที่โลกได้รับ แต่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ และไม่ใช่สาเหตุหลักของภาวะโลกร้อนในช่วงเวลาปัจจุบัน

แม้ว่าปัจจัยทางธรรมชาติจะมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่ากิจกรรมของมนุษย์ โดยเฉพาะการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการตัดไม้ทำลายป่า คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน

แนวทางและมาตรการในการรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจำเป็นต้องอาศัยทั้งการดำเนินการในระดับบุคคลควบคู่กับนโยบายในระดับประเทศ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 48% ภายในปี 2030 และบรรลุการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ (net zero) ภายในช่วงต้นทศวรรษ 2050

การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

ในระดับนโยบาย ภาครัฐได้ดำเนินมาตรการหลากหลายเพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เช่น

  • สนับสนุนการเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียน อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานชีวมวล
  • กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญ
  • ส่งเสริมการลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ดำเนินโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูระบบนิเวศธรรมชาติ
  • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวในเขตเมืองเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ โดยอยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารสำคัญ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแผนพลังงานแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทางสำคัญในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว

บทบาทของเทคโนโลยีและนวัตกรรม

นอกจากนโยบายแล้ว เทคโนโลยีและนวัตกรรมยังมีบทบาทสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการพัฒนาและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น

  • เทคโนโลยีดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศโดยตรง (Direct Air Capture)
  • ระบบกักเก็บพลังงานระยะยาว (Long-duration energy storage) เพื่อเพิ่มความเสถียรของระบบพลังงาน
  • เทคโนโลยีโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) เพื่อบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงาน

การมีส่วนร่วมของแต่ละบุคคล

การกระทำของแต่ละคนสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเมื่อการกระทำนั้นถูกรวมพลังกัน จะยิ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้

การเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อยในชีวิตประจำวันสามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก เช่น

  • ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ และหันมารับประทานอาหารจากพืชมากขึ้น
  • เลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เดิน หรือปั่นจักรยาน แทนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล
  • ซักผ้าด้วยน้ำเย็น และตากผ้าให้แห้งตามธรรมชาติ แทนการใช้เครื่องอบผ้า
  • เลือกซื้อสินค้ามือสอง และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
  • ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในบ้าน เช่น การเลือกใช้หลอดไฟแบบ LED

การมีส่วนร่วมในชุมชนและการเคลื่อนไหวทางสังคม

นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนบุคคลแล้ว การมีส่วนร่วมในระดับชุมชนก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยสามารถดำเนินการได้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่

  • เข้าร่วมการประชุมหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในชุมชน
  • สนับสนุนองค์กรหรือกลุ่มที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมและการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ
  • ผลักดันให้ภาครัฐดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง
  • เผยแพร่ความรู้และสร้างความตระหนักในวงกว้างเกี่ยวกับปัญหานี้

การแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการกระทำของแต่ละบุคคล นโยบายของภาครัฐ หรือความร่วมมือในระดับนานาชาติ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน

ความร่วมมือในระดับนานาชาติและทิศทางในอนาคตของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้พัฒนาอย่างมีนัยสำคัญ นับตั้งแต่การก่อตั้งกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการรับรองพิธีสารเกียวโตในปี 1997 และความตกลงปารีสในปี 2015

ความร่วมมือผ่านข้อตกลงและองค์กรระหว่างประเทศ

ความตกลงปารีส (Paris Agreement) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในความร่วมมือระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้อยู่ต่ำกว่า 2°C และพยายามรักษาระดับไม่ให้เกิน 1.5°C เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แตกต่างจากพิธีสารเกียวโต ความตกลงปารีสไม่ได้กำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่เน้นกระบวนการที่ให้แต่ละประเทศกำหนดเป้าหมายของตนเอง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ

โครงการ Climate Promise 2025 เป็นความริเริ่มในระดับระบบขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งสนับสนุนประเทศต่างๆ ให้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาแห่งชาติด้านสภาพภูมิอากาศ (NDCs) ให้สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5°C โดยเน้นการเสริมสร้างคุณภาพของนโยบาย เพิ่มขีดความสามารถในการลงทุน และเร่งรัดการดำเนินงานเพื่อผลักดันการพัฒนาที่ยั่งยืน

แนวโน้มและความท้าทายในอนาคต

โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในหลายด้าน ได้แก่

  • อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น: ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.60°C และคาดว่าปี 2025 จะเป็นหนึ่งในสามปีที่ร้อนที่สุด โดยมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง 1.29°C ถึง 1.53°C
  • สภาพอากาศรุนแรง: เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ตราบใดที่ยังคงมีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง
  • ความท้าทายทางเศรษฐกิจ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเมืองชายฝั่งสำคัญ เช่น ริโอเดจาเนโร เซี่ยงไฮ้ ไมอามี และโอซาก้า ที่อาจเผชิญกับน้ำท่วมจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
  • การแข่งขันด้านพลังงานสะอาด: การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดได้กลายเป็นศูนย์กลางของการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระดับโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน ซึ่งต่างมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและขยายตลาดการค้าเทคโนโลยีสีเขียว
  • พลังงานหมุนเวียน: พลังงานหมุนเวียนยังคงเป็นกำลังหลักของการขยายตัวด้านพลังงานทั่วโลก โดยคาดว่าจะคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ในปี 2025

ความร่วมมือระหว่างประเทศยังคงมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แม้จะมีความไม่แน่นอนด้านการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือ การดำรงไว้ซึ่งความต่อเนื่องของนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน ทั้งในระดับรัฐบาลและภาคเอกชน

เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารเพื่อเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่