ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) มาจากไหน? สำรวจที่มาและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน

ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ปรากฏการณ์โลกร้อนกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ หนึ่งในต้นตอหลักของปัญหานี้คือก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ซึ่งมีบทบาทในการดูดซับและสะสมความร้อนในชั้นบรรยากาศ แม้จะเป็นกลไกทางธรรมชาติที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต แต่การสะสมที่มากเกินจากกิจกรรมของมนุษย์กลับสร้างผลกระทบที่รุนแรงต่อสภาพภูมิอากาศ ระบบนิเวศ และความมั่นคงในหลายมิติทั่วโลก
Greenhouse gas หรือก๊าซเรือนกระจกคืออะไร?
ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gases: GHGs) คือ กลุ่มก๊าซในบรรยากาศของโลกที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและกักเก็บความร้อน หรือรังสีอินฟราเรดที่สะท้อนกลับจากพื้นผิวโลกหลังได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ก๊าซเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการรักษาอุณหภูมิโลกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต โดยหากปราศจากก๊าซเรือนกระจก อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกจะต่ำกว่าปัจจุบันถึง 33 องศาเซลเซียส ซึ่งจะทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
กลไกการดูดซับรังสีอินฟราเรดของก๊าซเรือนกระจกเกิดจากลักษณะเฉพาะของโมเลกุล เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีรูปแบบการสั่นของโมเลกุลซึ่งสามารถทำให้เกิดการแยกของประจุไฟฟ้าชั่วขณะเป็นแบบ “ขั้วไฟฟ้าคู่” ส่งผลให้สามารถดูดกลืนรังสีอินฟราเรดได้ หลังจากดูดซับพลังงานความร้อนแล้ว ก๊าซเหล่านี้จะคายพลังงานออกมาในทุกทิศทาง ทำให้ความร้อนบางส่วนสะท้อนกลับลงสู่พื้นผิวโลกอีกครั้ง
ความแตกต่างระหว่าง “ก๊าซเรือนกระจก” กับ “ภาวะเรือนกระจก” มีดังนี้
- ก๊าซเรือนกระจก: คือ ก๊าซที่สามารถดูดซับและคายรังสีความร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นก๊าซที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด คิดเป็นประมาณร้อยละ 75 ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
- ภาวะเรือนกระจก: หมายถึง ปรากฏการณ์ที่รังสีความร้อนจากพื้นผิวโลกถูกดูดซับโดยก๊าซเรือนกระจก และถูกแผ่กลับลงมาสู่พื้นผิวโลกอีกครั้ง ส่งผลให้อุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งภาวะนี้ช่วยรักษาสมดุลของอุณหภูมิโลกให้เหมาะสมต่อการดำรงชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน การสะสมของก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศมีปริมาณสูงเกินกว่าระดับสมดุลธรรมชาติ ส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกระทบต่อระบบภูมิอากาศทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ชนิดและคุณสมบัติสำคัญของก๊าซเรือนกระจก
ก๊าซเรือนกระจกมีอะไรบ้าง? ก๊าซเรือนกระจกหลักที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนสามารถจำแนกได้เป็น 7 ชนิด โดยแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและแหล่งกำเนิดที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)
เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุด คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 76 ของทั้งหมด มีอายุอยู่ในชั้นบรรยากาศได้นานถึง 200 ปี แหล่งกำเนิดหลัก ได้แก่ การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า
ค่าศักยภาพในการก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก หรือ GWP (Global Warming Potential) เท่ากับ 1 ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานที่ใช้ในการเปรียบเทียบกับก๊าซชนิดอื่น
2. ก๊าซมีเทน (CH₄)
เป็นก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยเป็นอันดับสอง คิดเป็นประมาณร้อยละ 16 ของทั้งหมด มีอายุเฉลี่ยในชั้นบรรยากาศราว 12 ปี สามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่า CO₂ ประมาณ 28 เท่า
แหล่งกำเนิดสำคัญ ได้แก่ การย่อยสลายของอินทรียวัตถุในที่ขาดอากาศ การทำเกษตรกรรม การเลี้ยงสัตว์ และหลุมฝังกลบขยะ
3. ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N₂O)
มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 6 ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด และสามารถคงอยู่ในชั้นบรรยากาศได้นานกว่า 100 ปี ก๊าซชนิดนี้สามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่า CO₂ ถึง 265 เท่า
แหล่งกำเนิดหลัก ได้แก่ กระบวนการทางชีวภาพในดินและมหาสมุทร การใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในภาคเกษตรกรรม รวมถึงการเผาไหม้เชื้อเพลิงบางประเภท
4. กลุ่มก๊าซฟลูออริเนต (F-gases)
แม้ว่าจะมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2 ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด แต่ก๊าซกลุ่มนี้มีอายุยืนยาวในชั้นบรรยากาศ โดยมีช่วงเวลาตั้งแต่ 100 ปีไปจนถึงมากกว่า 50,000 ปี และมี GWP สูงมาก จึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาวะโลกร้อน
กลุ่มก๊าซนี้ประกอบด้วย
- ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs): ใช้ในระบบทำความเย็น เช่น ตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ
- เปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs): ใช้ในกระบวนการหลอมอะลูมิเนียม และการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
- ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF₆): มี GWP สูงถึง 22,800 เท่า ใช้เป็นฉนวนในระบบไฟฟ้าแรงสูง และในอุตสาหกรรมยางรถยนต์
- ไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF₃): มี GWP สูงถึง 17,200 เท่า ใช้ในกระบวนการผลิตอุปกรณ์อิเล็กโทรนิคส์หรือวงจรขนาดเล็ก
แหล่งกำเนิดหลัก: ธรรมชาติ vs กิจกรรมมนุษย์
การเปรียบเทียบระหว่างแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกจากธรรมชาติกับที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญทั้งในด้านปริมาณและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
แหล่งกำเนิดจากธรรมชาติ
- ภูเขาไฟ: การระเบิดของภูเขาไฟปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าที่มนุษย์ปล่อยออกมาถึงประมาณ 50 เท่า
- วัฏจักรคาร์บอนตามธรรมชาติ: คาร์บอนหมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศระหว่างดิน หิน แหล่งน้ำ บรรยากาศ และสิ่งมีชีวิต ซึ่งกระบวนการนี้มีความสมดุลมาอย่างต่อเนื่องนับพันล้านปี
- ฟ้าผ่าและฟ้าแลบ: ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดก๊าซไนตรัสออกไซด์ ซึ่งเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ
แหล่งกำเนิดจากกิจกรรมของมนุษย์
- การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล: เป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญที่สุด คิดเป็นประมาณ 80% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
- ฟาร์มปศุสัตว์: ปล่อยก๊าซมีเทนจากกระบวนการหมักในระบบย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง รวมถึงการจัดการมูลสัตว์
- การตัดไม้ทำลายป่า: การแปรสภาพป่าไม้เพื่อใช้เป็นพื้นที่เลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชอาหารสัตว์ ส่งผลให้พื้นที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- การใช้ปุ๋ยเคมี: ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซไนตรัสออกไซด์ โดยภาคเกษตรกรรมเป็นแหล่งปล่อยก๊าซชนิดนี้ถึง 74% ของทั้งหมด
- การจัดการขยะ: การฝังกลบขยะอินทรีย์ก่อให้เกิดก๊าซมีเทน ซึ่งมีศักยภาพในการทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า
แนวทางในการลดก๊าซเรือนกระจกที่ควบคุมได้
- ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ด้วยการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนและเทคโนโลยีที่ปล่อยมลพิษต่ำ
- ปรับเปลี่ยนระบบการผลิตอาหาร ไปสู่เกษตรกรรมอินทรีย์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการพึ่งพาเคมีภัณฑ์
- ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อวัว ซึ่งใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากกว่าการผลิตโปรตีนจากพืชถึง 15–20 เท่า
- เพิ่มพื้นที่ป่าไม้ เพื่อเพิ่มแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และฟื้นฟูความสมดุลของระบบนิเวศ
การลดก๊าซเรือนกระจกเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน หากทุกฝ่ายร่วมมือกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสนับสนุนแนวทางที่ยั่งยืน จะช่วยชะลอภาวะโลกร้อนและรักษาสมดุลของสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตของโลกใบนี้
ผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนและสภาพภูมิอากาศ
ภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงในปี 2025 โดยอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกในเดือนมกราคม 2025 สูงกว่าช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.75 องศาเซลเซียส ทั้งนี้ อุณหภูมิพื้นผิวโลกโดยเฉลี่ยในปี 2025 คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1.29–1.53 องศาเซลเซียส ตามการคาดการณ์ของ Met Office
การเพิ่มขึ้นของก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมมนุษย์ส่งผลให้ระดับ CO2 ในชั้นบรรยากาศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยคาดว่าจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี 2025 ที่ 368 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดในปี 2025
- สภาพอากาศสุดขั้ว: ภาวะสุดขั้วของพายุและฝนเพิ่มความรุนแรง จำนวนวันและระยะเวลาที่ฝนตกมากขึ้น การเกิดพายุไต้ฝุ่นถี่ขึ้น ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันรุนแรงบ่อยขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยหลุดจากอันดับประเทศเสี่ยงสูงอากาศสุดขั้วในระยะยาวจากอันดับ 9 ไปอันดับ 30
- ระดับน้ำทะเล: ในปี 2024 ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้น 0.59 ซม. ต่อปี สูงกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกที่ 0.43 ซม. ต่อปี ทำให้หลายเมืองชายฝั่งเสี่ยงต่อน้ำท่วม
- สุขภาพ: ภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ทั้งการเสียชีวิตจากคลื่นความร้อน โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคที่เกิดจากยุงและแมลง รวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพจิต
- เศรษฐกิจ: ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะโลกร้อนอาจสูงถึง 38 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2049 ในไทย เศรษฐกิจปี 2025 มีแนวโน้มชะลอตัว โดยคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตที่ 2.4%
- ความมั่นคงทางอาหาร: ไทยอยู่อันดับที่ 64 จาก 113 ประเทศในดัชนีชี้วัดความมั่นคงทางอาหารของโลกปี 2022 ลดลง 13 อันดับจากปีก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคาดว่าจะทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรปรับขึ้นมากกว่า 29% และมีผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญในอีก 25 ปีข้างหน้า
วิธีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับบุคคลและองค์กร
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นหน้าที่ร่วมกันของทั้งบุคคลและองค์กร เพื่อช่วยชะลอภาวะโลกร้อนและสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม โดยสามารถดำเนินการได้ดังนี้
ในระดับบุคคล
บุคคลทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ผ่านพฤติกรรมประจำวัน ดังนี้
- การประหยัดพลังงาน: เลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และใช้งานอย่างมีสติ เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็น
- การเดินทาง: เลือกใช้ระบบขนส่งสาธารณะ จักรยาน หรือยานพาหนะไฟฟ้า ซึ่งปล่อยคาร์บอนต่ำกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
- การบริโภคอาหาร: ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ และหันมารับประทานอาหารที่มาจากพืชเป็นหลัก เพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคปศุสัตว์
- การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า: ลดการบริโภคสินค้าที่ไม่จำเป็น และยืดอายุการใช้งานของเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการผลิตและขยะที่เกินความจำเป็น
- การติดตามคาร์บอนฟุตพรินต์: ใช้แอปพลิเคชันหรือเครื่องมือดิจิทัลเพื่อคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมประจำวัน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม
ในระดับองค์กร
องค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญผ่านการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ดังนี้
- การประเมินคาร์บอนฟุตพรินต์: วิเคราะห์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน ทั้งในส่วนของกระบวนการโดยตรง (Scope 1) การใช้พลังงาน (Scope 2) และห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3)
- การใช้พลังงานหมุนเวียน: เปลี่ยนมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานสะอาดอื่น ๆ เพื่อทดแทนพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
- การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ: นำระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในองค์กร
- การซื้อขายคาร์บอนเครดิต: เข้าร่วมกลไกคาร์บอนเครดิต เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกส่วนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
- การฟื้นฟูและอนุรักษ์พื้นที่ป่า: สนับสนุนโครงการปลูกป่าและดูแลระบบนิเวศ เพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
- การปรับปรุงเทคโนโลยีในกระบวนการผลิต: ลงทุนในเทคโนโลยีที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น เทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS)
- การรายงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG): จัดทำรายงานแสดงความก้าวหน้าในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม องค์กรที่มุ่งสู่แนวทางคาร์บอนต่ำจะได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภค นักลงทุน และสังคม รวมทั้งได้เปรียบในการแข่งขันในยุคที่ความยั่งยืนกลายเป็นปัจจัยสำคัญของตลาดในอนาคต
บทบาทนโยบายระหว่างประเทศและกฎหมายไทย
ประเทศไทยได้เข้าร่วมพิธีสารเกียวโตตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งกำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 5 ภายในปี 2012 และร้อยละ 18 ภายในปี 2020 ต่อมาไทยได้ให้สัตยาบันความตกลงปารีสในปี 2016 ที่มีเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ไทยได้ประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 พร้อมยกระดับเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDC) ให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 40 จากกรณีปกติภายในปี 2030
ด้านมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ไทยเตรียมจัดเก็บภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) เร็วสุดในปลายปี 2024 หรือปีงบประมาณ 2025 โดยเริ่มจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ในอัตราเบื้องต้น 200 บาทต่อตันคาร์บอน
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) จัดตั้งขึ้นในปี 2007 มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์และให้คำรับรองโครงการลดก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมการพัฒนาโครงการและตลาดคาร์บอน รวมถึงเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านก๊าซเรือนกระจก TGO ยังขับเคลื่อนการดำเนินงานใน 6 ด้าน ได้แก่ นโยบาย เทคโนโลยี การค้าและการลงทุน กลไกตลาดคาร์บอนเครดิต การเพิ่มแหล่งกักเก็บ/ดูดกลับก๊าซเรือนกระจก และกฎหมาย รวมถึงการพัฒนาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัดเพื่อมุ่งสู่ Net Zero
กรอบกฎหมายและแรงจูงใจเหล่านี้สะท้อนถึงความพยายามของไทยในการบรรลุเป้าหมายระดับโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการผสมผสานมาตรการทั้งด้านนโยบาย กฎหมาย และกลไกทางเศรษฐศาสตร์
เกี่ยวกับ Optiwise
Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารเพื่อเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่