ทำไมต้อง เข้า ตลาดหลักทรัพย์ ? 10 เหตุผลที่ควรพิจารณา | Optiwise
Article
08 กันยายน 2567

ทำไมต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์? 10 เหตุผลที่ควรพิจารณา

ทำไมต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์? 10 เหตุผลที่ควรพิจารณา

“การเข้าตลาดหลักทรัพย์” เป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและเพิ่มมูลค่าให้กับธุรกิจในระยะยาว และไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุน แต่ยังช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มสภาพคล่อง และขยายฐานนักลงทุนให้กับบริษัทอีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีข้อดีอื่นๆ อีกเช่น การช่วยเพิ่มมูลค่าแบรนด์ การสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน และการเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน เหตุผล 10 ข้อดังต่อไปนี้คือแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้หลายบริษัท เลือกที่จะ เข้า ตลาดหลักทรัพย์

1. โอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน

การเข้าตลาดหลักทรัพย์เปิดโอกาสให้บริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากธนาคารเพียงแหล่งเดียว ในการเข้าตลาดหลักทรัพย์และการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรก (IPO) จะช่วยเสริมสร้างฐานะทางการเงินและเพิ่มทุนในการขยายธุรกิจหรือลงทุนในโครงการใหม่ๆ ให้กับบริษัท นอกจากการระดมทุนผ่าน IPO แล้ว เมื่อเข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วยังสามารถระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคตผ่านการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน (การออกหุ้นเพิ่มทุน) เมื่อต้องการเงินทุนสำหรับการเติบโตหรือขยายกิจการ การมีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังช่วยให้บริษัทสามารถออกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือและมีข้อมูลทางการเงินที่โปร่งใส ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีทางเลือกในการระดมทุนที่หลากหลายมากขึ้น

2. เพิ่มสภาพคล่องการซื้อขายหุ้นของบริษัท

การเข้าตลาดหลักทรัพย์ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับหุ้นของบริษัท เนื่องจากนักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นได้อย่างสะดวกและรวดเร็วตามความต้องการ ทำให้หุ้นของบริษัทมีความน่าสนใจและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในปัจจุบันและสร้างโอกาสให้กับบริษัทในอนาคต นอกจากนี้การที่หุ้นของบริษัทเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง ราคาหุ้นของบริษัทที่รับรู้โดยสาธารณะก็จะช่วยสะท้อนให้เห็นมูลค่าของบริษัทผ่านมุมมองของมหาชน ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้หุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีความน่าสนใจต่อนักลงทุนมากกว่าหุ้นของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุนของบริษัทในอนาคต และสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในระยะยาวได้เป็นอย่างดี

3. บริษัทเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มความน่าเชื่อถือ

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วยเพิ่มการรับรู้และความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทอย่างมาก เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนจะต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินตามกำหนด และมีขั้นตอนการปฏิบัติงาน และการรายงานผลการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ซึ่งจะทำให้บริษัทเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงการธุรกิจมากขึ้น การมีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนถือเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่ดี มีความมั่นคงทางการเงิน และปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์อย่างเคร่งครัด และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีหลายเหตุการณ์ที่กระทบกับความน่าเชื่อถือของบริษัทจดทะเบียนและกลไกการกำกับดูแล แต่ในภาพรวม การเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นกลไกที่สำคัญซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า คู่ค้า หรือนักลงทุน

นอกจากนี้ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังช่วยเพิ่มการรับรู้ในแบรนด์ของบริษัท เนื่องจากบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และสื่อมวลชนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และขยายฐานลูกค้าได้กว้างขวางยิ่งขึ้น ด้วยการรับรู้และความน่าเชื่อถือที่เพิ่มขึ้นนี้ จึงถือเป็นประโยชน์สำคัญที่บริษัทจะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว

4. มีวิธีปฏิบัติและมาตรฐานที่สูงขึ้น

การเข้าตลาดหลักทรัพย์ทำให้บริษัทต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และมาตรฐานที่เข้มงวดกว่าบริษัททั่วไป ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานและวิธีปฏิบัติของบริษัทให้สูงขึ้น การปฏิบัติตามกฎระเบียบของตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ลดความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส และทำให้บริษัทดำเนินงานอย่างมืออาชีพมากขึ้น บริษัทจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญต่อสาธารณะต้องมีความต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เช่น การเปิดเผย งบการเงิน แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) และข่าวสารที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสามารถติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายนอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนยังต้องปฏิบัติตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) ซึ่งครอบคลุมถึงการมีโครงสร้างการบริหารงานที่ชัดเจน การปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม การคำนึงถึงบทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย บริษัทจดทะเบียนจึงมีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับมากกว่าบริษัททั่วไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในบริษัทได้มากขึ้น

5. เพิ่มความสามารถในการกู้ยืมเงิน

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทในสายตาของสถาบันการเงินและธนาคาร ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถกู้ยืมเงินเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจหรือขยายกิจการได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ต่ำลง เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนมีหน้าที่ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินอย่างโปร่งใส และได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ทำให้สถาบันการเงินมีข้อมูลที่เพียงพอในการประเมินความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัท และเพิ่มความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น นอกจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินแล้ว บริษัทจดทะเบียนยังสามารถระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้ ได้ง่ายกว่าบริษัททั่วไป เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนมีความน่าเชื่อถือและมีตลาดรองรับการซื้อขายตราสารหนี้ ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนมากกว่าบริษัทที่ไม่ได้ เข้า ตลาดหลักทรัพย์ ความสามารถในการกู้ยืมเงินและการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งประโยชน์สำคัญที่บริษัทจะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

6. สนับสนุนการขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ

การเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นการเปิดประตูสู่โอกาสในการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนจะได้รับการยอมรับและความน่าเชื่อถือในระดับสากล ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าและนักลงทุนในต่างประเทศ การมีสถานะเป็นบริษัทจดทะเบียนถือเป็นการรับรองว่าบริษัทมีการบริหารจัดการที่ดี มีความโปร่งใส และปฏิบัติตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น

7. เพิ่มความสามารถในการดึงดูดและรักษาบุคคลากรที่มีคุณภาพ

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วยเพิ่มความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูง เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนมีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือมากกว่าบริษัททั่วไป ทำให้บุคลากรที่มีคุณภาพสนใจที่จะร่วมงานกับบริษัทมากขึ้นนอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนยังสามารถใช้หุ้นเป็นเครื่องมือในการสร้างแรงจูงใจและความผูกพันให้กับพนักงานในระยะยาวได้ โดยการมอบหุ้นหรือสิทธิซื้อหุ้นให้กับพนักงานผ่านโครงการ ESOP (Employee Stock Ownership Plan) ซึ่งเป็นการให้พนักงานมีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัท ทำให้พนักงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จและมีความมุ่งมั่นในการทำงานมากขึ้น การมอบหุ้นหรือสิทธิซื้อหุ้นให้กับพนักงานยังช่วยลดอัตราการลาออกของพนักงานที่มีความสามารถสูงได้อีกด้วย เนื่องจากพนักงานจะมีแรงจูงใจทางการเงินในระยะยาวที่จะอยู่กับบริษัทต่อไป เพื่อรอรับผลตอบแทนจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้นในอนาคต การที่บริษัทสามารถรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงไว้กับบริษัทได้นั้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากบุคลากรเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับบริษัทดังนั้น จึงถือได้ว่าการเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มความสามารถของบริษัทในการดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตและความสำเร็จของบริษัทในระยะยาว

8. เพิ่มโอกาสในการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ

การเข้าตลาดหลักทรัพย์ช่วยเพิ่มโอกาสให้บริษัทสามารถใช้หุ้นเป็นเครื่องมือในการเจรจาเพื่อควบรวมและเข้าซื้อกิจการได้ง่ายขึ้น เนื่องจากหุ้นของบริษัทจดทะเบียนเป็นที่ยอมรับและสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้บริษัทมีทางเลือกในการชำระค่าตอบแทนด้วยหุ้นแทนเงินสดได้นอกจากนี้ การที่หุ้นของบริษัทมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ยังช่วยให้การประเมินมูลค่าบริษัทในกรณีเจรจาควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นในตลาดจะสะท้อนมูลค่าของบริษัทตามความเห็นของนักลงทุน ซึ่งจะช่วยให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถใช้ราคาหุ้นเป็นเกณฑ์อ้างอิงในการต่อรองราคาได้อย่างเป็นธรรม

9. ช่วยพัฒนาการกำกับดูแลกิจการและสร้างความโปร่งใส

การเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นการบังคับให้บริษัทต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการกำกับดูแลกิจการที่เข้มงวด ซึ่งจะช่วยพัฒนาการกำกับดูแลกิจการและสร้างความโปร่งใสให้กับบริษัท ส่งผลให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของนักลงทุนและสาธารณชน บริษัทจดทะเบียนจะต้องมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ ถูกต้อง และทันเวลา รวมถึงต้องมีระบบการควบคุมภายในและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้บริษัทจดทะเบียนยังต้องให้ความสำคัญกับสิทธิของผู้ถือหุ้นรายย่อย มีการปฏิบัติต่อผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียมกัน และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า หรือชุมชน ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของบริษัทการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความโปร่งใสนี้ยังส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใส และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ดังนั้น การเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนและมีความน่าเชื่อถือในตลาดได้มากขึ้น

10. โอกาสในการขายหุ้นออกสำหรับนักลงทุนเดิม

เมื่อบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับนักลงทุนเดิมสามารถขายหุ้นให้กับนักลงทุนรายใหม่หรือบุคคลอื่นที่สนใจลงทุนในบริษัทได้อย่างสะดวก นักลงทุนเดิมที่ถือหุ้นบริษัทมาเป็นเวลานานสามารถขายหุ้นบางส่วนเพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุน โดยยังคงถือหุ้นส่วนที่เหลือเพื่อรักษาสิทธิในการควบคุมบริษัท การมีตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นตลาดรองและเป็นตลาดกลางที่มีสภาพคล่องสูงจะช่วยให้นักลงทุนเดิมสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถกระจายความเสี่ยงและปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนได้อย่างเหมาะสม หรือสามารถสรุปได้อีกอย่างว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์จึงเป็นการจับคู่ระหว่างความอยากเกษียณของเจ้าของธุรกิจเดิมกับผู้สนใจลงทุนคนใหม่ที่ต้องการความเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายและปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง

การเข้าตลาดหลักทรัพย์ย่อมมาพร้อมกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน ค่าธรรมเนียมต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น บริษัทจะต้องจัดเตรียมข้อมูลและเอกสารจำนวนมากเพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรมากกว่าการดำเนินงานปกติ นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนจะต้องเผชิญกับการตรวจสอบและความคาดหวังจากนักลงทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อการบริหารจัดการภายในบริษัทอย่างมาก ผู้บริหารจะต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับนักลงทุนและการรักษาความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นมากขึ้น รวมถึงต้องระมัดระวังในการตัดสินใจทางธุรกิจ เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาดได้

ข้อคิดส่งท้าย

การเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นกระบวนการที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ในที่สุดแล้ว บริษัทต้องประเมินว่าการได้รับเงินทุนก้อนใหญ่ที่สามารถนำมาใช้ในการขยายธุรกิจและเพิ่มมูลค่าบริษัทนั้น คุ้มค่ากับการที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่มากขึ้นหรือไม่ การตัดสินใจนี้ควรทำอย่างรอบคอบ โดยพิจารณาทั้งในด้านการเติบโตระยะยาวและความยั่งยืนของธุรกิจ บริษัทควรวิเคราะห์ความพร้อมของตนเองในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน การบริหารจัดการ ความโปร่งใส และการกำกับดูแลกิจการ เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างครบถ้วน นอกจากนี้ ยังต้องมีการวางแผนและเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายหลังการเข้าจดทะเบียน เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้อย่างเต็มที่และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่