ESG Rating คือ อะไร? ปัจจัยที่ส่งผลต่อคะแนนการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจ | Optiwise
Article
31 ตุลาคม 2567

ESG Rating คืออะไร? ปัจจัยที่ส่งผลต่อคะแนนการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจ

ESG Rating คืออะไร? ปัจจัยที่ส่งผลต่อคะแนนการประเมินความยั่งยืนของธุรกิจ
ESG Rating หรือการประเมินด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสะท้อนความยั่งยืนของธุรกิจ โดยมีบทบาทในการบริหารความเสี่ยงและสร้างความโปร่งใส ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงเป็นเกณฑ์ในการเปรียบเทียบกับคู่แข่งและดึงดูดแหล่งเงินทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน

ESG Rating คือ อะไร?

ESG Rating คือ ผลการประเมินการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลของบริษัท โดยมีเป้าหมายเพื่อวัดความยั่งยืนและผลกระทบทางสังคมของธุรกิจ การประเมินนี้ครอบคลุม 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  1. ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental): พิจารณาการจัดการทรัพยากร การลดก๊าซเรือนกระจก และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
  2. ด้านสังคม (Social): ประเมินการปฏิบัติต่อพนักงาน ความปลอดภัยในการทำงาน และความรับผิดชอบต่อชุมชน
  3. ด้านบรรษัทภิบาล (Governance): วัดความโปร่งใสในการบริหาร โครงสร้างคณะกรรมการ และจริยธรรมทางธุรกิจ
ESG Rating มักแสดงผลในรูปแบบคะแนนหรือระดับ เช่น AAA ถึง CCC หรือคะแนน 0-100 ขึ้นอยู่กับหน่วยงานที่ประเมิน ตัวอย่างหน่วยงานที่ให้บริการประเมิน ESG Rating ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ได้แก่

  • MSCI: ให้เกรดตั้งแต่ AAA (ดีที่สุด) ถึง CCC (แย่ที่สุด)
  • Sustainalytics: ให้คะแนนความเสี่ยง ESG ตั้งแต่ 0-100 โดยคะแนนต่ำหมายถึงความเสี่ยงต่ำ
  • FTSE Russell: ประเมินคะแนน ESG ตั้งแต่ 0-5 โดย 5 คะแนนถือเป็น best practice
ในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับ FTSE Russell เพื่อยกระดับการประเมินความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนไทยสู่มาตรฐานสากล โดยจะเริ่มประกาศผลคะแนน ESG สู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

ESG Rating ไม่เพียงแต่สะท้อนผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัท แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว รวมถึงช่วยให้บริษัทสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนในการดำเนินงานด้าน ESG เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ความสำคัญของ ESG Rating สำหรับธุรกิจ

ESG Rating มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจในปัจจุบัน เนื่องจากส่งผลกระทบในหลายมิติ

  1. การดึงดูดนักลงทุน: บริษัทที่มี ESG Rating สูงมีแนวโน้มที่จะดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนอย่างยั่งยืน นักลงทุนมักใช้ ESG Rating เป็นเครื่องมือในการประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว
  2. การเข้าถึงแหล่งเงินทุน: บริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่ดีมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นและอาจได้รับเงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสำหรับเงินกู้ยืม
  3. การปรับตัวเข้าสู่ตลาดใหม่: ESG Rating ที่ดีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของบริษัท ทำให้สามารถขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
  4. การบริหารความเสี่ยง: การประเมิน ESG ช่วยให้บริษัทสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อธุรกิจ
  5. การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน: กระบวนการประเมิน ESG ช่วยให้บริษัทสามารถระบุจุดแข็งและจุดอ่อนในการดำเนินงาน นำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
  6. การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน: บริษัทที่มี ESG Rating สูงมักมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้บริโภคและพันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มส่วนแบ่งตลาดและความได้เปรียบทางการแข่งขัน
  7. การปฏิบัติตามกฎระเบียบ: การให้ความสำคัญกับ ESG ช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงจากการถูกลงโทษหรือเสียค่าปรับ
  8. การเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์: ESG Rating ที่ดีช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้แต่มีคุณค่าอย่างมากสำหรับธุรกิจ
  9. การดึงดูดและรักษาบุคลากร: บริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่ดีมักดึงดูดและรักษาพนักงานที่มีความสามารถได้ดีกว่า โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการทำงานในองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
  10. การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต: การให้ความสำคัญกับ ESG ช่วยให้บริษัทมีความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
ด้วยเหตุนี้ ESG Rating จึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการวัดผลการดำเนินงานด้านความยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จและความอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว

ปัจจัยที่ส่งผลต่อคะแนนการประเมิน ESG

ปัจจัยที่ส่งผลต่อคะแนนการประเมิน ESG แบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ได้แก่

ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Factors)
  • การจัดการก๊าซเรือนกระจก: บริษัทที่มีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมีแผนดำเนินการที่ชัดเจนจะได้คะแนนสูงกว่า
  • การใช้พลังงานหมุนเวียน: การลงทุนในพลังงานสะอาดและเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนส่งผลดีต่อคะแนน ESG
  • การลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ: มาตรการประหยัดน้ำ การใช้วัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ และการนำกลับมาใช้ใหม่เป็นปัจจัยสำคัญ
  • การจัดการขยะและมลพิษ: ระบบการจัดการของเสียที่มีประสิทธิภาพและการลดมลพิษทางอากาศและน้ำช่วยเพิ่มคะแนนด้านสิ่งแวดล้อม
ด้านสังคม (Social Factors)
  • การดูแลแรงงานและสิทธิแรงงาน: นโยบายค่าจ้างที่เป็นธรรม สวัสดิการที่เหมาะสม และการเคารพสิทธิแรงงานเป็นปัจจัยสำคัญ
  • ความหลากหลายและความเท่าเทียมในองค์กร: การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ การจ้างงานคนพิการ และนโยบายต่อต้านการเลือกปฏิบัติส่งผลดีต่อคะแนน ESG
  • การมีส่วนร่วมของชุมชนและกิจกรรมเพื่อสังคม: โครงการพัฒนาชุมชนและการสร้างคุณค่าร่วมกับสังคมช่วยเพิ่มคะแนนด้านสังคม
  • สุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน: มาตรการป้องกันอุบัติเหตุในการทำงานและการดูแลสุขภาพพนักงานเป็นปัจจัยสำคัญ
ด้านการกำกับดูแล (Governance Factors)
  • การกำกับดูแลของคณะกรรมการและความโปร่งใส: โครงสร้างคณะกรรมการที่มีความหลากหลายและเป็นอิสระ รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสส่งผลดีต่อคะแนน ESG
  • การปฏิบัติตามกฎระเบียบ: การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัดเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญ
  • นโยบายการต่อต้านคอร์รัปชันและการจัดการความเสี่ยง: มาตรการป้องกันการทุจริตที่เข้มแข็งและระบบการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพช่วยเพิ่มคะแนนด้านการกำกับดูแล
นอกจากนี้ ความสม่ำเสมอในการรายงานข้อมูล ESG และการตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอกยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและส่งผลดีต่อคะแนนการประเมิน ESG โดยรวม

วิธีปรับปรุงคะแนน ESG Rating

การปรับปรุงคะแนน ESG Rating เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดยมีแนวทางสำคัญดังนี้

  1. วิเคราะห์สถานะปัจจุบัน: ประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG ขององค์กรอย่างละเอียด โดยใช้เครื่องมือประเมินตนเองหรือจ้างที่ปรึกษาภายนอก เพื่อระบุจุดแข็งและจุดอ่อน
  2. กำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์: ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายแต่เป็นไปได้ในแต่ละด้านของ ESG และวางแผนกลยุทธ์ระยะสั้นและระยะยาวเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น
  3. บูรณาการ ESG เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจ: นำแนวคิด ESG มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ ปรับปรุงกระบวนการทำงาน และกำหนดนโยบายองค์กร
  4. พัฒนาระบบการจัดเก็บและรายงานข้อมูล: สร้างระบบที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้าน ESG และรายงานผลอย่างโปร่งใสและสม่ำเสมอ
  5. สร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: จัดกิจกรรมและการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมในเรื่อง ESG กับพนักงาน ลูกค้า ซัพพลายเออร์ และชุมชน
  6. ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: นำเทคโนโลยีมาใช้ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานทดแทน หรือการพัฒนาระบบ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร
  7. พัฒนาความร่วมมือและพันธมิตร: สร้างความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกันหรือต่างอุตสาหกรรม เพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีและร่วมกันแก้ไขปัญหาด้าน ESG
  8. ใช้มาตรฐานและการรับรองระดับสากล: ดำเนินการตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น ISO 14001 สำหรับการจัดการสิ่งแวดล้อม หรือ SA8000 สำหรับความรับผิดชอบทางสังคม
  9. ทบทวนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: จัดให้มีการทบทวนผลการดำเนินงานด้าน ESG อย่างสม่ำเสมอ และปรับปรุงแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
  10. ใช้เครื่องมือ ESG Monitoring: นำเครื่องมือติดตามและวิเคราะห์ข้อมูล ESG มาใช้ เช่น แดชบอร์ดแสดงผลการดำเนินงานด้าน ESG แบบเรียลไทม์ หรือซอฟต์แวร์วิเคราะห์ความเสี่ยงด้าน ESG
ตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดีในอุตสาหกรรมต่างๆ
  • อุตสาหกรรมการผลิต: การใช้พลังงานหมุนเวียน การลดของเสียด้วยหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน
  • ภาคการเงิน: การพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง
  • ธุรกิจค้าปลีก: การลดการใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืน และการพัฒนาโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีผลกระทบสูง
การปรับปรุงคะแนน ESG Rating ไม่ใช่เพียงการทำเพื่อให้ได้คะแนนสูงขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาองค์กรให้มีความยั่งยืนอย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว ทั้งในแง่ของการลดความเสี่ยง การสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน

ESG Rating ในไทย


ตลาดทุนไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการลงทุนอย่างยั่งยืน โดยมีการผลักดันแนวคิด ESG อย่างจริงจังและได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ละสถาบันและองค์กรเริ่มสนับสนุนและริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการลงทุน ESG

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริม ESG โดยได้พัฒนา SET ESG Ratings เพื่อประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน โดยในปี 2566 มีบริษัทที่ผ่านการคัดเลือกและได้รับการประกาศผลประเมินหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings จำนวน 193 บริษัท คิดเป็นร้อยละ 72 ของมูลค่าตลาดทั้งหมดของ SET และ mai

นอกจากนี้ ตลท. ยังได้จัดทำดัชนี Thailand Sustainability Investment (THSI) เพื่อส่งเสริมการลงทุนในบริษัทที่มีผลการดำเนินงานด้าน ESG ที่ดี รวมทั้งมีการจัดอันดับด้านการกำกับดูแลกิจการ (CG Scoring) เพื่อประเมินและจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี

ภาครัฐก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืน เช่น การออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

ในส่วนของภาคเอกชน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่งได้เริ่มออกกองทุน ESG เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันอย่างกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความยั่งยืน

ตัวอย่างของบริษัทไทยที่มี ESG Rating สูง ได้แก่ กลุ่ม ปตท. ซึ่งติดอยู่ในดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI แม้จะทำธุรกิจที่มีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม แต่มีนโยบายที่ดีในการบริหารจัดการความเสี่ยงและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน

ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้บริษัทไทยมี ESG Rating สูงขึ้น ได้แก่
  1. การเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG อย่างโปร่งใสและครบถ้วน
  2. การกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ด้าน ESG ที่ชัดเจน
  3. การบูรณาการ ESG เข้ากับกระบวนการทางธุรกิจ
  4. การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  5. การมีส่วนร่วมกับชุมชนและสังคม
อย่างไรก็ตาม การประเมิน ESG ในประเทศไทยยังมีข้อจำกัด เช่น การขาดแคลนข้อมูลที่เชื่อถือได้และการขาดความเข้าใจในเรื่อง ESG ของบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง ดังนั้น การให้ความรู้และการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความสำคัญของ ESG จึงเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนไทยสู่ความยั่งยืนในระยะยาว

ความท้าทายในการรักษา ESG Rating

การรักษาคะแนน ESG ให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับธุรกิจ โดยมีปัญหาและอุปสรรคหลายประการ

  1. การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานและเกณฑ์การประเมิน: มาตรฐาน ESG มีการปรับปรุงอยู่เสมอเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทำให้บริษัทต้องปรับตัวตามอย่างต่อเนื่อง การทบทวนและปรับปรุงเกณฑ์ประเมินทุกปีทำให้บริษัทต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
  2. ความซับซ้อนของข้อมูล ESG: การรวบรวมและรายงานข้อมูล ESG ที่ครบถ้วนและถูกต้องเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่อาจมีทรัพยากรจำกัด การขาดระบบจัดเก็บข้อมูลที่มีประสิทธิภาพอาจส่งผลต่อคุณภาพของข้อมูลที่เปิดเผย
  3. การบูรณาการ ESG เข้ากับกลยุทธ์ธุรกิจ: การผนวก ESG เข้ากับการดำเนินธุรกิจหลักอย่างแท้จริงเป็นความท้าทายสำคัญ หลายบริษัทยังมองว่า ESG เป็นเพียงกิจกรรมเสริม ไม่ใช่ส่วนสำคัญของกลยุทธ์องค์กร
  4. ความเสี่ยงจากการฟอกเขียว (Greenwashing): การสื่อสารที่เกินจริงหรือบิดเบือนเกี่ยวกับผลงานด้าน ESG อาจนำไปสู่การถูกกล่าวหาว่าฟอกเขียว ซึ่งส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบริษัท การรักษาสมดุลระหว่างการนำเสนอผลงานและความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ
  5. การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ: ภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลมีการออกกฎหมายและข้อบังคับใหม่ๆ เกี่ยวกับ ESG อยู่เสมอ เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศ ทำให้บริษัทต้องปรับตัวและลงทุนเพิ่มเติมเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดใหม่
  6. ความคาดหวังที่สูงขึ้นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: นักลงทุน ลูกค้า และสังคมมีความคาดหวังที่สูงขึ้นต่อการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัท ทำให้การรักษาระดับคะแนน ESG เป็นเรื่องท้าทายมากขึ้น
  7. ความขัดแย้งระหว่างเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว: การลงทุนในโครงการ ESG มักให้ผลตอบแทนในระยะยาว แต่อาจกระทบต่อผลประกอบการระยะสั้น ทำให้เกิดความท้าทายในการสร้างสมดุล
  8. การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ: การดำเนินงานด้าน ESG ต้องการบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะทาง ซึ่งยังมีจำนวนจำกัดในตลาดแรงงาน
  9. ความท้าทายในการวัดผลกระทบ: การวัดผลลัพธ์และผลกระทบของโครงการ ESG อย่างเป็นรูปธรรมเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้การแสดงความคุ้มค่าของการลงทุนเป็นไปได้ยาก
  10. การจัดการห่วงโซ่อุปทาน: การควบคุมและส่งเสริมการดำเนินงานด้าน ESG ตลอดห่วงโซ่อุปทานเป็นความท้าทายสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่มีซัพพลายเออร์จำนวนมากและกระจายอยู่ทั่วโลก

การรักษาคะแนน ESG ให้อยู่ในระดับสูงจึงต้องอาศัยความมุ่งมั่น การลงทุนอย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวที่รวดเร็วของธุรกิจ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้และตอบสนองต่อความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นของสังคม

บทสรุป ESG สู่ความยั่งยืน

ESG Rating มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยเป็นเครื่องมือที่ช่วยสะท้อนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลขององค์กร นอกจากจะเป็นตัวชี้วัดสำหรับนักลงทุนแล้ว ยังช่วยให้บริษัทสามารถระบุจุดแข็งและโอกาสในการพัฒนาได้อย่างชัดเจน

การให้ความสำคัญกับ ESG ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงทางธุรกิจ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยบริษัทที่มีคะแนน ESG สูงมักมีผลประกอบการที่ดีกว่าในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การสำรวจของ Moore Global พบว่าบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG มีกำไรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 9.1% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เทียบกับ 3.7% ของบริษัทที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ

สำหรับธุรกิจที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้าน ESG มีข้อแนะนำดังนี้

  1. บูรณาการ ESG เข้ากับกลยุทธ์องค์กร: ไม่ควรมอง ESG เป็นเพียงกิจกรรมเสริม แต่ควรผนวกเข้ากับการดำเนินธุรกิจหลัก
  2. พัฒนาระบบการจัดเก็บและรายงานข้อมูล: สร้างระบบที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมและรายงานข้อมูลด้าน ESG อย่างโปร่งใสและสม่ำเสมอ
  3. สร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: จัดกิจกรรมและการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมในเรื่อง ESG กับทุกภาคส่วน
  4. ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: นำเทคโนโลยีมาใช้ในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน
  5. พัฒนาความร่วมมือและพันธมิตร: สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีและร่วมกันแก้ไขปัญหาด้าน ESG
ในบริบทของประเทศไทย การผลักดันแนวคิด ESG กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พัฒนา SET ESG Ratings เพื่อประเมินผลการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการสร้างความเข้าใจและการนำ ESG ไปปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก

ท้ายที่สุด การพัฒนาด้าน ESG ไม่ใช่เพียงการทำเพื่อให้ได้คะแนนสูงขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการสร้างคุณค่าระยะยาวให้กับธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ธุรกิจที่สามารถบูรณาการ ESG เข้ากับการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะมีความได้เปรียบในการแข่งขันและสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว


เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่