Article
01 พฤศจิกายน 2567
หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ (อัปเดตปี 2568)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้กำหนด หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ ใหม่สำหรับการเข้าจดทะเบียน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดทุนไทย ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยและการคัดกรองบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคง ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ mai ยังคงมีเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นสำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็กเพื่อสนับสนุนการเติบโตในทุกระดับ
วัตถุประสงค์หลักของการปรับปรุงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในรูปแบบใหม่ มีดังนี้
การปรับปรุงเกณฑ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนาตลาดทุนให้มีความแข็งแกร่ง มีคุณภาพ และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน และระบบเศรษฐกิจโดยรวม
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยและสัดส่วนการกระจายหุ้นยังคงเหมือนเดิม โดย SET ต้องมีผู้ถือหุ้นรายย่อย ≥1,000 ราย และ mai ≥300 ราย ในขณะที่สัดส่วนการกระจายหุ้นสำหรับทั้งสองตลาดอยู่ที่ 20-30%.
ผลกระทบต่อบริษัทที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียน
ผลกระทบต่อคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
การปรับเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของตลาดทุนไทย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการยกระดับคุณภาพและการเปิดโอกาสให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งจะต้องมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยในระยะยาว
ประโยชน์ของการปรับปรุงเกณฑ์
แนวโน้มของตลาดทุนไทยในอนาคต
การปรับปรุงเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของตลาดทุนไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการปรับเกณฑ์นี้จะสร้างประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วนในตลาดทุนไทย
เกี่ยวกับ Optiwise
Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่
วัตถุประสงค์ของการปรับปรุงเงื่อนไขการเข้าตลาดหลักทรัพย์
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและตลาดทุนของประเทศ โดยเป็นช่องทางสำคัญในการระดมทุนระยะยาวสำหรับบริษัท ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยมีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้นวัตถุประสงค์หลักของการปรับปรุงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในรูปแบบใหม่ มีดังนี้
- ยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน: เกณฑ์ใหม่กำหนดให้บริษัทต้องมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเพิ่มเกณฑ์ส่วนของผู้ถือหุ้นและกำไรสุทธิ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทที่เข้าจดทะเบียนมีความมั่นคงทางการเงินและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
- เสริมสร้างสภาพคล่องในตลาด: การปรับเพิ่มสัดส่วนการกระจายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็น 20-30% ของทุนชำระแล้ว มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย: การมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพสูงขึ้นจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ตลาดทุนไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นในระดับสากล
- สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน: เกณฑ์ใหม่ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี การเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส และการคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับโลก
- รักษาสมดุลระหว่างการยกระดับคุณภาพและการเปิดโอกาส: แม้จะมีการปรับเกณฑ์ให้เข้มงวดขึ้น แต่ตลาดหลักทรัพย์ยังคงเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มีเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นกว่า เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในทุกระดับ
การปรับปรุงเกณฑ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนาตลาดทุนให้มีความแข็งแกร่ง มีคุณภาพ และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน และระบบเศรษฐกิจโดยรวม
เปรียบเทียบ หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai
เพื่อให้เข้าใจถึง เงื่อนไข การเข้าตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai ได้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลต่อไปนี้สรุปเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์เก่า (ก่อน 1 มกราคม 2568) และเกณฑ์ใหม่ (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568) ในรูปแบบตาราง:ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
เงื่อนไข | เกณฑ์เก่า (ก่อน 1 ม.ค. 2568) | เกณฑ์ใหม่ (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568) |
---|---|---|
ทุนชำระแล้ว |
|
|
ส่วนของผู้ถือหุ้น |
|
|
กำไรสุทธิ |
|
|
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย |
|
|
อัตราส่วนการถือหุ้นรายย่อย |
|
|
การเสนอขายหุ้น |
|
|
ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
เงื่อนไข | เกณฑ์เก่า (ก่อน 1 ม.ค. 2568) | เกณฑ์ใหม่ (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568) |
---|---|---|
ทุนชำระแล้ว |
|
|
ส่วนของผู้ถือหุ้น |
|
|
กำไรสุทธิ |
|
|
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย |
|
|
อัตราส่วนการถือหุ้นรายย่อย |
|
|
การเสนอขายหุ้น |
|
|
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยและสัดส่วนการกระจายหุ้นยังคงเหมือนเดิม โดย SET ต้องมีผู้ถือหุ้นรายย่อย ≥1,000 ราย และ mai ≥300 ราย ในขณะที่สัดส่วนการกระจายหุ้นสำหรับทั้งสองตลาดอยู่ที่ 20-30%.
ผลกระทบของการปรับเกณฑ์การพิจารณาบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
การปรับเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่งผลกระทบสำคัญต่อทั้งบริษัทที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียนและคุณภาพโดยรวมของบริษัทจดทะเบียน ดังนี้ผลกระทบต่อบริษัทที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียน
- เพิ่มความท้าทายในการเข้าจดทะเบียน: บริษัทจะต้องมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านส่วนของผู้ถือหุ้นและกำไรสุทธิ ซึ่งอาจทำให้บริษัทขนาดเล็กหรือบริษัทที่มีผลประกอบการไม่สูงมากต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมนานขึ้น
- เพิ่มภาระในการกระจายหุ้น: การปรับเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็น 20-30% อาจทำให้บริษัทต้องวางแผนการเสนอขายหุ้น IPO ให้รอบคอบมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถกระจายหุ้นได้ตามเกณฑ์
- เพิ่มความจำเป็นในการปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการ: บริษัทจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการควบคุมภายในและการเปิดเผยข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่
- อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น: บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเกณฑ์ใหม่ได้ อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่นในการระดมทุน เช่น การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ที่มีเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นกว่า หรือแสวงหาแหล่งเงินทุนอื่น
ผลกระทบต่อคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
- ยกระดับคุณภาพโดยรวม: เกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยคัดกรองให้เฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและผลประกอบการดีเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้คุณภาพโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้น
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพสูงขึ้นจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าตลาดโดยรวม
- ปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการ: เกณฑ์ใหม่จะกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนต้องพัฒนาระบบการกำกับดูแลกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
- เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย: การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยจะช่วยเพิ่มปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดีขึ้น
- อาจลดจำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ในระยะสั้น: เนื่องจากเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น อาจทำให้จำนวนบริษัทที่สามารถเข้าจดทะเบียนได้ลดลงในช่วงแรก แต่ในระยะยาวจะส่งผลให้มีบริษัทที่มีคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
การปรับเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของตลาดทุนไทย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการยกระดับคุณภาพและการเปิดโอกาสให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งจะต้องมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยในระยะยาว
ประโยชน์ของการปรับปรุงเกณฑ์ และแนวโน้มของตลาดทุนไทยในอนาคต
การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีประโยชน์หลายประการและส่งผลต่อแนวโน้มของตลาดทุนไทยในอนาคต ดังนี้ประโยชน์ของการปรับปรุงเกณฑ์
- ยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน: เกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยคัดกรองให้เฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและผลประกอบการดีเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้คุณภาพโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้น
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย: การมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพสูงขึ้นจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าตลาดโดยรวม
- ปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการ: เกณฑ์ใหม่จะกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนต้องพัฒนาระบบการกำกับดูแลกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
- เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย: การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยจะช่วยเพิ่มปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดีขึ้น
- ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน: เกณฑ์ใหม่ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี การเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส และการคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับโลก
แนวโน้มของตลาดทุนไทยในอนาคต
- การเพิ่มขึ้นของบริษัทที่มีคุณภาพสูง: คาดว่าในอนาคตจะมีบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและผลประกอบการดีเข้าจดทะเบียนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจของตลาดทุนไทยในสายตานักลงทุน
- การพัฒนาของตลาด mai: ตลาดหลักทรัพย์ mai อาจมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการเป็นแหล่งระดมทุนสำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่สามารถเข้าเกณฑ์ของ SET
- การเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากต่างประเทศ: การยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและการเพิ่มความโปร่งใสอาจดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น
- การพัฒนาของเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ: เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนและบริษัทที่ต้องการระดมทุน อาจมีการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินหรือช่องทางการระดมทุนรูปแบบใหม่ๆ
- การเน้นการลงทุนอย่างยั่งยืนมากขึ้น: แนวโน้มการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อาจมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในตลาดทุนไทย สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนทั่วโลก
- การปรับตัวของบริษัทเพื่อเข้าเกณฑ์ใหม่: บริษัทที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในอนาคตอาจต้องปรับกลยุทธ์และการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจในภาพรวม
การปรับปรุงเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของตลาดทุนไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการปรับเกณฑ์นี้จะสร้างประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วนในตลาดทุนไทย
เกี่ยวกับ Optiwise
Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่