หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ (อัปเดตปี 2568) | Optiwise
Article
01 พฤศจิกายน 2567

หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ (อัปเดตปี 2568)

หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ (อัปเดตปี 2568)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้กำหนด หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ ใหม่สำหรับการเข้าจดทะเบียน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตลาดทุนไทย ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยและการคัดกรองบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคง ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ mai ยังคงมีเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นสำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็กเพื่อสนับสนุนการเติบโตในทุกระดับ

วัตถุประสงค์ของการปรับปรุงเงื่อนไขการเข้าตลาดหลักทรัพย์

การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและตลาดทุนของประเทศ โดยเป็นช่องทางสำคัญในการระดมทุนระยะยาวสำหรับบริษัท ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และสร้างภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยมีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น

วัตถุประสงค์หลักของการปรับปรุงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในรูปแบบใหม่ มีดังนี้

  1. ยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน: เกณฑ์ใหม่กำหนดให้บริษัทต้องมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเพิ่มเกณฑ์ส่วนของผู้ถือหุ้นและกำไรสุทธิ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทที่เข้าจดทะเบียนมีความมั่นคงทางการเงินและมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
  2. เสริมสร้างสภาพคล่องในตลาด: การปรับเพิ่มสัดส่วนการกระจายหุ้นให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็น 20-30% ของทุนชำระแล้ว มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย
  3. เพิ่มความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย: การมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพสูงขึ้นจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ตลาดทุนไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นในระดับสากล
  4. สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน: เกณฑ์ใหม่ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี การเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส และการคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับโลก
  5. รักษาสมดุลระหว่างการยกระดับคุณภาพและการเปิดโอกาส: แม้จะมีการปรับเกณฑ์ให้เข้มงวดขึ้น แต่ตลาดหลักทรัพย์ยังคงเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มีเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นกว่า เพื่อสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในทุกระดับ

การปรับปรุงเกณฑ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการพัฒนาตลาดทุนให้มีความแข็งแกร่ง มีคุณภาพ และสามารถแข่งขันได้ในระดับสากล โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน และระบบเศรษฐกิจโดยรวม

เปรียบเทียบ หลักเกณฑ์การเข้าตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai

เพื่อให้เข้าใจถึง เงื่อนไข การเข้าตลาดหลักทรัพย์ SET และ mai ได้ดียิ่งขึ้น ข้อมูลต่อไปนี้สรุปเปรียบเทียบระหว่างเกณฑ์เก่า (ก่อน 1 มกราคม 2568) และเกณฑ์ใหม่ (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568) ในรูปแบบตาราง:

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

เงื่อนไข เกณฑ์เก่า (ก่อน 1 ม.ค. 2568) เกณฑ์ใหม่ (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568)
ทุนชำระแล้ว
  • 300 ล้านบาท
  • 100 ล้านบาท
ส่วนของผู้ถือหุ้น
  • 300 ล้านบาท
  • 800 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
  • 2 หรือ 3 ปีล่าสุดรวมกัน 50 ล้านบาท
  • โดยปีล่าสุด 30 ล้านบาท
  • 2 หรือ 3 ปีล่าสุดรวมกัน 125 ล้านบาท
  • โดยปีล่าสุด 75 ล้านบาท
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย
  • 1,000 ราย
  • 1,000 ราย
อัตราส่วนการถือหุ้นรายย่อย
  • 25% ของทุนชำระแล้ว
  • หรือ 20% หากทุนชำระแล้ว 3,000 ล้านบาท
  • 30% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว < 300 ล้านบาท
  • 25% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท แต่ < 3,000 ล้านบาท
  • 20% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว 3,000 ล้านบาท
การเสนอขายหุ้น
  • 15% ของทุนชำระแล้ว
  • หากทุนชำระแล้ว 500 ล้านบาท ต้องเสนอขาย 10% หรือมูลค่าหุ้นสามัญตาม par 75 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
  • 20% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว < 300 ล้านบาท
  • 15% ของทุนชำระแล้ว หรือมูลค่าหุ้นตาม par 60 ล้านบาทแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า กรณีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท แต่ < 500 ล้านบาท
  • 10% ของทุนชำระแล้ว หรือมูลค่าหุ้นตาม par 75 ล้านบาทแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า กรณีทุนชำระแล้ว 500 ล้านบาท



ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)

เงื่อนไข เกณฑ์เก่า (ก่อน 1 ม.ค. 2568) เกณฑ์ใหม่ (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568)
ทุนชำระแล้ว
  • 50 ล้านบาท
  • 50 ล้านบาท
ส่วนของผู้ถือหุ้น
  • 50 ล้านบาท
  • 100 ล้านบาท
กำไรสุทธิ
  • ปีล่าสุด 10 ล้านบาท
  • 2 หรือ 3 ปีล่าสุดรวมกัน 40 ล้านบาท
  • โดยปีล่าสุด ≥ 25 ล้านบาท
จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อย
  • 300 ราย
  • 300 ราย
อัตราส่วนการถือหุ้นรายย่อย
  • 25% ของทุนชำระแล้ว
  • หรือ 20% หากทุนชำระแล้ว 3,000 ล้านบาท
  •  30% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว < 300 ล้านบาท
  • 25% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท แต่ < 3,000 ล้านบาท
  • 20% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว 3,000 ล้านบาท
การเสนอขายหุ้น
  • 15% ของทุนชำระแล้ว
  • 20% ของทุนชำระแล้ว กรณีทุนชำระแล้ว < 300 ล้านบาท
  • 15% ของทุนชำระแล้ว หรือมูลค่าหุ้นตาม par 60 ล้านบาทแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า กรณีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท แต่ < 500 ล้านบาท
  • 10% ของทุนชำระแล้ว หรือมูลค่าหุ้นตาม par 75 ล้านบาทแล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า กรณีทุนชำระแล้ว 500 ล้านบาท



จำนวนผู้ถือหุ้นรายย่อยและสัดส่วนการกระจายหุ้นยังคงเหมือนเดิม โดย SET ต้องมีผู้ถือหุ้นรายย่อย ≥1,000 ราย และ mai ≥300 ราย ในขณะที่สัดส่วนการกระจายหุ้นสำหรับทั้งสองตลาดอยู่ที่ 20-30%.

ผลกระทบของการปรับเกณฑ์การพิจารณาบริษัทที่เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

การปรับเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยส่งผลกระทบสำคัญต่อทั้งบริษัทที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียนและคุณภาพโดยรวมของบริษัทจดทะเบียน ดังนี้

ผลกระทบต่อบริษัทที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียน

  1. เพิ่มความท้าทายในการเข้าจดทะเบียน: บริษัทจะต้องมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านส่วนของผู้ถือหุ้นและกำไรสุทธิ ซึ่งอาจทำให้บริษัทขนาดเล็กหรือบริษัทที่มีผลประกอบการไม่สูงมากต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมนานขึ้น
  2. เพิ่มภาระในการกระจายหุ้น: การปรับเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็น 20-30% อาจทำให้บริษัทต้องวางแผนการเสนอขายหุ้น IPO ให้รอบคอบมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถกระจายหุ้นได้ตามเกณฑ์
  3. เพิ่มความจำเป็นในการปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการ: บริษัทจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการควบคุมภายในและการเปิดเผยข้อมูลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่
  4. อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น: บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับเกณฑ์ใหม่ได้ อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่นในการระดมทุน เช่น การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ที่มีเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นกว่า หรือแสวงหาแหล่งเงินทุนอื่น

ผลกระทบต่อคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

  1. ยกระดับคุณภาพโดยรวม: เกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยคัดกรองให้เฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและผลประกอบการดีเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้คุณภาพโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้น
  2. เพิ่มความน่าเชื่อถือ: การมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพสูงขึ้นจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าตลาดโดยรวม
  3. ปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการ: เกณฑ์ใหม่จะกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนต้องพัฒนาระบบการกำกับดูแลกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
  4. เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย: การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยจะช่วยเพิ่มปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดีขึ้น
  5. อาจลดจำนวนบริษัทจดทะเบียนใหม่ในระยะสั้น: เนื่องจากเกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้น อาจทำให้จำนวนบริษัทที่สามารถเข้าจดทะเบียนได้ลดลงในช่วงแรก แต่ในระยะยาวจะส่งผลให้มีบริษัทที่มีคุณภาพสูงเข้าสู่ตลาดมากขึ้น

การปรับเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของตลาดทุนไทย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความท้าทายในการรักษาสมดุลระหว่างการยกระดับคุณภาพและการเปิดโอกาสให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งจะต้องมีการติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยในระยะยาว

ประโยชน์ของการปรับปรุงเกณฑ์ และแนวโน้มของตลาดทุนไทยในอนาคต

การปรับปรุงเกณฑ์การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีประโยชน์หลายประการและส่งผลต่อแนวโน้มของตลาดทุนไทยในอนาคต ดังนี้

ประโยชน์ของการปรับปรุงเกณฑ์

  1. ยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน: เกณฑ์ที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยคัดกรองให้เฉพาะบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและผลประกอบการดีเข้าสู่ตลาด ส่งผลให้คุณภาพโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้น
  2. เพิ่มความน่าเชื่อถือของตลาดทุนไทย: การมีบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพสูงขึ้นจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าตลาดโดยรวม
  3. ปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการ: เกณฑ์ใหม่จะกระตุ้นให้บริษัทจดทะเบียนต้องพัฒนาระบบการกำกับดูแลกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย
  4. เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อขาย: การเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยจะช่วยเพิ่มปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด ส่งผลให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขายที่ดีขึ้น
  5. ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน: เกณฑ์ใหม่ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี การเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส และการคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับโลก

แนวโน้มของตลาดทุนไทยในอนาคต

  1. การเพิ่มขึ้นของบริษัทที่มีคุณภาพสูง: คาดว่าในอนาคตจะมีบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่งและผลประกอบการดีเข้าจดทะเบียนมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจของตลาดทุนไทยในสายตานักลงทุน
  2. การพัฒนาของตลาด mai: ตลาดหลักทรัพย์ mai อาจมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการเป็นแหล่งระดมทุนสำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่สามารถเข้าเกณฑ์ของ SET
  3. การเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากต่างประเทศ: การยกระดับคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนและการเพิ่มความโปร่งใสอาจดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น
  4. การพัฒนาของเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ: เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุนและบริษัทที่ต้องการระดมทุน อาจมีการพัฒนาเครื่องมือทางการเงินหรือช่องทางการระดมทุนรูปแบบใหม่ๆ
  5. การเน้นการลงทุนอย่างยั่งยืนมากขึ้น: แนวโน้มการลงทุนที่คำนึงถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) อาจมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในตลาดทุนไทย สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนทั่วโลก
  6. การปรับตัวของบริษัทเพื่อเข้าเกณฑ์ใหม่: บริษัทที่มีแผนจะเข้าจดทะเบียนในอนาคตอาจต้องปรับกลยุทธ์และการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินธุรกิจในภาพรวม

การปรับปรุงเกณฑ์นี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของตลาดทุนไทย ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การติดตามและประเมินผลอย่างต่อเนื่องจะเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าการปรับเกณฑ์นี้จะสร้างประโยชน์สูงสุดต่อทุกภาคส่วนในตลาดทุนไทย

เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่