ความตกลงปารีส (Paris Agreement) คือ อะไร และจะช่วยจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาได้อย่างไร | Optiwise
Article
05 พฤศจิกายน 2567

ความตกลงปารีส (Paris Agreement) คืออะไร และจะช่วยจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาได้อย่างไร

ความตกลงปารีส (Paris Agreement) คืออะไร และจะช่วยจำกัดอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5 องศาได้อย่างไร
ความตกลงปารีส (Paris Agreement) เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่สำคัญว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งได้รับการรับรองในการประชุม COP21 ที่กรุงปารีสเมื่อปี 2015 โดยมีเป้าหมายหลักในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส

Paris Agreement คือ อะไร

ความตกลงปารีสเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ที่มีเป้าหมายหลักในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามจำกัดไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม

ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นจากการประชุม COP21 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2015 โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ 3 ประการ คือ

  1. ควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก
  2. เพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  3. ทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนที่สอดคล้องกับการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ
ความตกลงปารีสมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2016 หลังจากมีประเทศภาคีให้สัตยาบันเกิน 55 ประเทศ และมีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมกันมากกว่า 55% ของโลก ปัจจุบันมีประเทศภาคีสมาชิกร่วมลงนามแล้ว 197 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย

ข้อตกลงนี้แตกต่างจากพิธีสารเกียวโตที่มีผลบังคับใช้ก่อนหน้า โดยไม่แบ่งแยกกลุ่มประเทศที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้แต่ละประเทศกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซได้เอง (Bottom-up Approach) ทำให้เป็นข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายฉบับแรกที่ครอบคลุมทุกประเทศในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทำความเข้าใจกับเป้าหมายสำคัญของ Paris Agreement

ความตกลงปารีสมีเป้าหมายและองค์ประกอบสำคัญหลายประการเพื่อจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. การจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: ข้อตกลงมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกในระดับที่สูงสุด (Global Peaking) โดยเร็วที่สุด และหลังจากนั้นจะดำเนินการลดก๊าซเรือนกระจกลงอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการปล่อยและการดูดซับก๊าซเรือนกระจกในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษนี้
  2. การสนับสนุนจากประเทศพัฒนาแล้ว: ประเทศพัฒนาแล้วมีพันธกรณีในการให้การสนับสนุนทางการเงิน การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเสริมสร้างศักยภาพแก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อช่วยให้ประเทศเหล่านี้สามารถดำเนินการตามความตกลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศ (NDCs): ทุกประเทศต้องจัดทำ "การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนดขึ้น" (Nationally Determined Contribution: NDC) ซึ่งระบุเป้าหมายและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ โดยต้องส่ง NDC ทุก 5 ปี และต้องแสดงความก้าวหน้าและความพยายามที่เพิ่มขึ้นในแต่ละรอบ
  4. กรอบความโปร่งใส: ความตกลงกำหนดให้มีการสร้างกรอบความโปร่งใสเพื่อติดตามและรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการของแต่ละประเทศ รวมถึงการลดก๊าซเรือนกระจก การปรับตัว และการสนับสนุนที่ได้รับหรือให้แก่ประเทศอื่น
  5. การทบทวนระดับโลก: จะมีการประเมินความก้าวหน้าโดยรวมในการบรรลุวัตถุประสงค์ของความตกลงทุก 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2023 เพื่อให้แน่ใจว่าโลกกำลังเดินหน้าสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้
  6. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ความตกลงให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบทางลบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบดังกล่าว
องค์ประกอบเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างกรอบการดำเนินงานที่ครอบคลุมและยืดหยุ่น โดยคำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละประเทศ แต่ยังคงมุ่งมั่นสู่เป้าหมายร่วมกันในการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความท้าทายในการเดินหน้าสู่เป้าหมาย

การบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ

  1. การปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเพิ่มขึ้น: แม้จะมีความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ปริมาณการปล่อยทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2022 อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.1-1.2°C แล้ว ซึ่งใกล้เคียงกับขีดจำกัดที่ 1.5°C ที่ความตกลงปารีสพยายามควบคุม
  2. เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ท้าทาย: เพื่อจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไว้ที่ 1.5°C จำเป็นต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 50% ภายในปี 2030 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากจากทุกประเทศ
  3. การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน: ต้องเร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน และลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นความท้าทายทั้งในด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ
  4. ความไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศ: ประเทศกำลังพัฒนามักมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและเทคโนโลยีในการดำเนินการตามเป้าหมาย ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วต้องให้การสนับสนุนทางการเงินและเทคโนโลยีที่เพียงพอ
  5. การปรับตัวของภาคเศรษฐกิจ: หลายประเทศต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในภาคส่วนที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
  6. การติดตามและรายงานผล: การสร้างระบบการติดตามและรายงานผลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพสำหรับทุกประเทศเป็นความท้าทายทางเทคนิคและการบริหารจัดการ
  7. การเมืองระหว่างประเทศ: ความขัดแย้งทางการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างประเทศอาจส่งผลต่อความร่วมมือในการดำเนินการตามความตกลงปารีส
การจัดการกับความท้าทายเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี และการปรับเปลี่ยนนโยบายในระดับประเทศและระดับโลกอย่างจริงจัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

ความคืบหน้าและการดำเนินการ

ความคืบหน้าในการดำเนินการตามความตกลงปารีสมีดังนี้

  1. การส่งเป้าหมาย NDCs: ประเทศภาคีได้ส่งเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (NDCs) ครั้งแรกในปี 2015 และมีการทบทวนเป้าหมายให้ท้าทายขึ้นในปี 2020 ตามที่กำหนดไว้ในความตกลง. ประเทศไทยได้ส่ง NDC ฉบับแรกในปี 2015 โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 20-25 ภายในปี 2030
  2. การประชุม COP ประจำปี: มีการจัดประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ทุกปีเพื่อติดตามความคืบหน้าและเจรจาประเด็นสำคัญ โดย COP26 ในปี 2021 ที่กลาสโกว์ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเร่งดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  3. การพัฒนายุทธศาสตร์ระยะยาว: หลายประเทศได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำระยะยาว (Long-term Low Emission Development Strategies: LT-LEDS) ตามที่ความตกลงปารีสส่งเสริม โดยประเทศไทยกำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดทำยุทธศาสตร์ดังกล่าว
  4. การสนับสนุนทางการเงิน: มีความพยายามในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามความตกลงปารีส โดยประเทศพัฒนาแล้วได้ให้คำมั่นที่จะระดมทุน 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีภายในปี 2020 เพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนา
  5. การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ: นอกจากรัฐบาล ภาคเอกชนและประชาสังคมได้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามความตกลงปารีส เช่น การริเริ่มโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด และการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้
  6. การพัฒนากลไกตลาดคาร์บอน: มีความคืบหน้าในการพัฒนากลไกตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศตามมาตรา 6 ของความตกลงปารีส โดยในการประชุม COP26 ได้มีการตกลงกฎเกณฑ์สำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ
แม้จะมีความคืบหน้าในหลายด้าน แต่การดำเนินการตามความตกลงปารีสยังคงต้องเร่งรัดและเพิ่มความทะเยอทะยานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลก โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและทุกประเทศอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

บทสรุปและแนวทางขับเคลื่อนในอนาคต

ความตกลงปารีสเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก แม้จะมีความก้าวหน้าในหลายด้าน แต่ยังคงมีความท้าทายที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมาย

  1. ช่องว่างระหว่างเป้าหมายและการดำเนินงาน: แม้ประเทศต่างๆ จะกำหนดเป้าหมาย NDCs แต่ผลรวมของความพยายามในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 2°C จำเป็นต้องเพิ่มความทะเยอทะยานของเป้าหมายและเร่งการดำเนินงานอย่างเร่งด่วน
  2. การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน: การเปลี่ยนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาดเป็นกุญแจสำคัญ แต่ยังคงมีอุปสรรคทั้งด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา
  3. การสนับสนุนทางการเงิน: การระดมทุน 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพื่อสนับสนุนประเทศกำลังพัฒนายังไม่บรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานในประเทศเหล่านี้
  4. ความร่วมมือระหว่างประเทศ: ความขัดแย้งทางการเมืองและผลประโยชน์แห่งชาติยังคงเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานร่วมกัน จำเป็นต้องเสริมสร้างความไว้วางใจและความร่วมมือระหว่างประเทศ
  5. การปรับตัวและความยืดหยุ่น: นอกจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเสริมสร้างความสามารถในการปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับประเทศที่เปราะบาง
การบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีสจำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการดำเนินการอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาสังคม รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ความสำเร็จของความตกลงปารีสไม่เพียงแต่จะช่วยบรรเทาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวและสังคมที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไป



เกี่ยวกับ Optiwise

Optiwise ให้บริการที่ปรึกษาด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บริการที่ปรึกษาด้าน ESG การออกแบบเว็บไซต์องค์กร (Corporate Website Design) และเว็บไซต์นักลงทุนสัมพันธ์ (IR Website) พร้อมให้คำปรึกษาในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) และจัดทำเอกสารสำคัญของบริษัทมหาชน รวมถึงงานประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับบริษัท

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการของ Optiwise ติดต่อเราได้ที่นี่